ทริปน่องลาย นัมเบอร์ 02 / SHIRAKAWA
“ลา ล๊า ลาาา ..” เสียงเด็กสาวร้องเพลงอย่างมีความสุขแว่วมา และภาพลางๆ ที่เห็นผ่านกระจกรถบัสคือสีเขียวของป่าเขา สลับกันกับอุโมงค์
ดูนาฬิกาที่ข้อมือ นี่ก็น่าจะใกล้ถึงแล้วนะที่หมายของเรา
เด็กสาวชาวยุโรป อายุราวๆ 8-10 ปี ยังคงร้องเพลงกล่อมคนบนรถบัสอย่างต่อเนื่อง จนน้องร้องจบได้ซัก 3 เพลง เราก็มาถึงจุดหมายของเรา หมู่บ้านมรดกโลก Shirakawa-go หมู่บ้านของชาวนา ที่อยู่ท่ามกลางหุบเขา ที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมดั่งเดิมตราบจนทุกวันนี้
อากาศที่นี่หนาวกว่า ทาคายาม่าเล็กน้อย นับถึงตอนนี้ ก็เกือบจะครบ 48 ชั่วโมงแล้วที่พวกเรา ไม่..ได้..อาบ..น้ำ (ฮ่าๆ) เอาหล่ะ อีกนิดเดียวจะได้อาบแล้ว เพราะคืนนี้ เราจะได้นอนสัมผัสบรรยากาศของหมู่บ้านนี้เป็นเวลา 1 คืน อีกนิดเดียวนะ ๆ ๆ ๆ อีก นิด เดียว….ที่ไหนล่ะ!
ทางเดินเข้าหมู่บ้านเป็นสะพานจากสลิงที่ยาวพาดผ่านแม่น้ำไป พวกเรารับกระเป๋าลงจากรถก็เดินลากข้ามไปในทันที คืนนี้ที่พักของเราคือ Shimizu Inn Guest House เป็นบ้านพักขนาดเล็ก ที่อยู่มุมขวาาาาาาาสุดดดดดดดของหมู่บ้านครับ ไม่ไกลครับ คาดเดาเอาเอง จากการเดิน น่าจะ 2 กิโลได้ เราก็ต่างลากกระเป๋าเดินไปเรื่อย พูดคุยกันไป ดูโน่นนี่กันไป พอได้เหนื่อย เวลาผ่านไปถึงแล้วครับที่พักของพวกเรา
บ้านพักขนาดเล็ก ห้องนอนพวกเราปูด้วยเสื่อทาทามิ และก็มีฟูตองไว้ปูนอนตอนกลางคืน พอเปิดประตูด้านหน้าห้องออก ก็มีชานที่ทำให้ผมนึกถึงบ้านต่างจังหวัดที่ผมเห็นในหนังญี่ปุ่นเลย
“คืนนี้กูจะนั่งตรงนี้แหละ”ผมคิดในใจแบบนั้น ส่วนสิ่งที่ผมสนใจเป็นพิเศษ คือหลังคาบ้านที่ตั้งชัน 60 องศา ของบ้านแต่ละหลังที่นี่ ที่เราเห็นจากสารคดีต่างๆ พอมาเห็นของจริงมันหนาและแข็งแรงมาก วัสดุเหมือนกิ่งไม้หรืออะไรซักอย่าง ที่ถูกมัดด้วยเชือก แต่ตอนนี้ ห้องน้ำว่างแล้ว อาบน้ำก่อนนะ!!!
ไล่เรียงกันอาบน้ำจนครบ ก็พร้อมจะออกลุยแล้ว ในระหว่างนั้น ไกด์อิทก็พูดคุยกับเจ้าของที่พัก ได้ใจความมาว่า มีรถบัสพาพวกเราขึ้นไปจุดชมวิว ซึ่งราคาของค่ารถบัส อยู่ที่ คนละ 200 เยน ไป-กลับ ก็ 400 เยน และที่มากกว่านั้นคือเราเข้าพักที่นี่ก็มีส่วนลดพิเศษสำหรับการเข้าออนเซ็นที่อยู่ภายในโรงแรมอีกฝากหนึ่งของหมู่บ้านอีกซะด้วย ส่วนอีกเรื่องที่จะลืมเสียมิได้ อาหารเย็นแบบพื้นบ้าน จะเสิร์ฟในเวลา 5 โมงเย็น รายละเอียดครบ ก็ออกเที่ยวชมหมู่บ้านกันดีกว่า
เดินไปเรื่อยผมก็ไปสะดุดตากับวัตถุขวดสีฟ้า ฉลากดูสวยงาม พออ่านดูก็รู้ว่าวัตถุนี้คือเบียร์ของเมืองชิราคาวะโกะนั่นเอง ซึ่งใช้ข้าวที่ปลูกในหมู่บ้านเป็นวัตถุดิบในการผลิต จะปล่อยไวใย ต้องลองสิ ข้างๆก็มีครอกเก้เนื้อฮิดะด้วย ครบครับ กับแกล้ม เบียร์ นั่งกินมันข้างถนนนี่แหละ ดูผู้คนเดินผ่านไปมา พร้อมกับมองทุ่งข้าวก็เพลินดี เติมพลังแล้ว ก็เดินต่อ เราก็แวะตามร้านรวงไปเรื่อยๆ เจอของแปลกๆก็เยอะ จนมาถึงจุดที่ต้องรอรถบัสก็ขึ้นไปที่จุดชมวิวกัน
กลับจากจุดชมวิว เราก็แยกย้ายกันเดิน ผมเดินกินดังโงะไปสำรวจโน่นนี่ จนกลับมาถึงที่พักก็พลบค่ำพอดี อาหารก็เป็นเมนูแบบญี่ปุ่นจริงๆ กับข้าว 3 ซุป 1และมีเมนูพิเศษเพิ่มมา คือเนื้อฮิดะบนกะทะเหล็ก พออิ่มเราก็ผึ่งท้อง พร้อมรอเวลาไปออนเซ็นต่อ
ยามคำคื่นที่นี่เงียบมาก เดินแหงนหน้ามองดาว จนมาถึงสถานที่ที่เราจะมาแช่ออนเซ็น คือที่ผมรู้เนี่ย ว่าแช่ออนเซ็นคือต้องถอดหมด ถึงแม้อิทจะบอกว่า “ไม่มีใครสนใจเราหรอก” แต่ไอ่เราคนไทยก็แอบเขินแต่พอเข้าไปจริงๆ ไม่เขินเลยครับทุกคนเดินมาก็ถอดๆๆๆ แล้วก็เดินไปอาบน้ำ ก็เลยคิดว่า
“ไม่เกร็งละวะ ไม่เห็นมีใครมานั่งดูอะไรกันนี่หว่า”
…………อ่าาาาห์ ขอพักแปร็บนะครับ….
ตัดภาพมาเช้าอีกวันเลยละกัน ผลจากการแช่ออนเซ็นเมื่อคืนทำให้อาการเมือยล้าหายไปเยอะทีเดียว ทานอาหารเช้าเสร็จ พวกเราก็ต้องออกเดินทางอีกแล้ว แต่ก่อนอื่นใด เราต้องย้อนกลับเข้าเมือง Takayama อีกครั้งนึง เพื่อจะต่อรถบัส เดินทางไปอีกเมืองนึง ถ้ามีเวลาอยากอยู่ต่ออีกหน่อย แต่แค่นี้ก็คุ้มแล้ว ..
เกี่ยวกับผู้เขียน
นักร้องนำวง ปลานิลเต็มบ้าน
Graphic Designer
เจ้าของร้านสินค้าดีไซน์เล็กๆที่ปราณบุรี Prantone