Pi – Cha- Non Café
Location : เมือง , เชียงใหม่
Owner : คุณ พิชานนท์ ชูเขียว
Designer : คุณพิชากร ชูเขียว
ศิลปะแห่งการใช้ซ้ำ ที่ไม่ซ้ำใคร
Pi-Cha-Non Cafe ตั้งขึ้นตรงตัวตามชื่อ พิชานนท์ ชูเขียว ผู้เป็นเจ้าของร้านที่เบี่ยงเข็มจากสายอาชีพที่จบมาโดยตรงอย่างงานด้านภาพยนตร์ หันมาทำร้านกาแฟจากความสนใจจริงจัง ตั้งแต่การเป็นลูกมือให้กับหลายๆร้าน จนเมื่อมีประสบการณ์มากพอจึงตัดสินใจเปิดร้านเป็นของตัวเอง ในบริเวณเดียวกับอพาร์ทเม้นแห่งหนึ่งนอกตัวเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว โดยในส่วนพาร์ทงานออกแบบตั้งแต่ตัวอาคาร พื้นที่ภายใน จนถึงเฟอร์นิเจอร์ ได้คุณพิชากร ชูเขียว พี่ชายของคุณพิชานนท์ ที่หลายคนอาจคุ้นหูในชื่อ tua pen not ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานจากวัสดุเหลือใช้ เป็นผู้ออกแบบทั้งหมด
ตัวอาคารโดยโครงสร้างนั้นเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ดังนั้นสิ่งที่มักเป็นตัวชูโรงให้การออกแบบอาคารมีความแตกต่างน่าสนใจ อย่างดีเทลทางสถาปัตย์จึงถูกแทนที่ด้วยดีเทลงานศิลปะ ที่แทรกซึมอยู่ทั่วไปในระนาบพื้นผนังเพดาน ที่นี่จึงเป็นหนึ่งในผลงานด้านออกแบบและตกแต่งภายใน ที่ยังคงเอกลักษณ์ตามแบบฉบับของผู้ออกแบบที่มักปรากฏอยู่ในงานศิลปะของเขานั่นเอง
ซีเมนต์ เหล็ก ไม้ ความดิบของวัสดุงานก่อสร้างและความนุ่มของวัสดุธรรมชาติคือส่วนผสมหลักของงานนี้ ที่รับรู้ได้ถึงความคราฟต์หรืองานทำมือที่ถูกหยิบจับมาใส่ไอเดียแปลกใหม่ ซึ่งคุณน๊อต พิชากร จะเข้ามาคุมงานด้วยตัวเอง ทำให้เกิดการทดลอง แลกเปลี่ยนเรียนรู้และทำงานร่วมกันระหว่างช่างก่อสร้างกับผู้ออกแบบ อย่างพื้นซีเมนต์ที่เห็นนี้คุณน๊อตเล่าว่าเกิดจากการให้ช่างโรยผงสีดำผสมลงไป หากเป็นช่างที่มีประสบการณ์จะได้พื้นซีเมนต์ขัดมันสีดำทั่วทั้งพื้น แต่คุณน๊อตอาศัยการที่ช่างไม่เคยทำมาก่อนได้ลองทำ ปรากฏว่าได้เป็นพื้นซีเมนต์ขัดมันที่มีรอยด่างๆสีดำเหมือนงานpaintingบนพื้น อย่างที่คิดภาพไว้ ซึ่งก็สวยงามไปอีกแบบ
ผนังก่ออิฐโชว์แนว ปล่อยให้ปูนล้นออกมาแบบไม่ปาดทิ้ง แล้วทาสีขาว กลายเป็นอีกหนึ่ง texture ของผนังอิฐเปลือยที่น่าสนใจ
แผงผนังกระจกขนาดใหญ่ กั้นพื้นที่ร้านออกเป็นสองส่วนได้อย่างไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดทึบตัน แบ่งเป็นพื้นที่นั่งบริเวณเดียวกับเคาน์เตอร์ที่เน้นเป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้เก่า นำมาขัดผิวใหม่ และส่วนที่เป็นเหมือนห้องประชุม ที่มีโต๊ะโครงเหล็กขนาดยาวอยู่ตรงกลางรายล้อมด้วยเก้าอี้หลากสไตล์ รองรับทุกกลุ่มลูกค้าไม่ว่าจะมาเป็นคู่ เป็นกลุ่มเล็ก หรือกลุ่มใหญ่ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวภายใต้บรรยากาศสบายๆ จากระยะเพดานสูง แสงธรรมชาติที่สว่างตลอดวัน
โต๊ะกลางขนาดใหญ่ที่ประกอบร่างขึ้นจากขาโต๊ะเหล็กกล่อง topเป็นไม้และซีเมนต์ขัดมันปั๊มลายวงกลมด้วยฝากระป๋องสเปรย์
หน้าต่างวงกลมที่ได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะจีน นำมาจัดรูปแบบโดยใส่เส้นสายและสีสันกลายเป็นเอกลักษณ์ของร้าน ที่บางช่วงเวลาก็มีGraphic pattern ที่เกิดจากดวงอาทิตย์ที่ทำมุมได้องศาทำให้เกิดเงาบนผืนผ้าม่านด้านใน
จากนักศึกษาที่มักหยิบเอาวัสดุเหลือทิ้งมาจัดเป็นinstallation art ส่งอาจารย์ จนกระทั้งค้นพบว่าตนเองชอบการจัดองค์ประกอบทั้งการจับคู่วัสดุและสีสัน ทำให้งานออกแบบของคุณน๊อตโดดเด่น มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในทุกๆงานไม่ว่าจะป็น painting, art object รวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์ และงานออกแบบต่างๆ
การจัดชุดเฟอร์นิเจอร์ ที่แตกต่างกัน ด้วยคู่สีและวัสดุ
พื้นที่ทับซ้อนของกาแฟ งานดีไซน์ และศิลปะ
การตกแต่งที่เน้นใช้สัจจะวัสดุช่วยคุม mood & tone และบรรยากาศภายใน เข้ากันได้ดีกับpainting – acrylic on canvas หรือ art object จากของเก่าวัสดุเหลือใช้ ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้่นในรูปแบบของเฟอร์นิเจอร์ที่ไม่เหมือนกันเลยซักชิ้น นำมาจัดให้เข้าชุดกันอย่างลงตัว เปรียบเสมือนโชว์รูมเฟอร์นิเจอร์ที่จัดมาให้ลูกค้าได้ทดลองใช้งานจริง จะซื้อหรือสั่งทำก็ได้ เป็นอีกหนึ่งฟังก์ชั่นที่ซ้อนไปอีกชั้นอย่างเนียนๆโดยที่ไม่ว่าจะตั้งใจมาดื่มกาแฟแล้วได้ชมงานศิลปะเป็นของแถม หรือตั้งใจมาดูเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์พลางดื่มกาแฟเพลินๆ ทางไหนก็คุ้มพอๆกัน
แต่ทั้งนี้ชิ้นงานที่ได้อาจไม่เหมือนเป๊ะกับที่วางอยู่ในร้าน นั่นก็เพราะทุกอย่างเป็นงานคราฟต์ ที่ทำขึ้นทีละชิ้น จะเรียกว่ามีเพียงชิ้นเดียวในโลกก็ไม่ผิดนักเพราะขึ้นอยู่กับวัสดุที่หาได้ในช่วงเวลานั้น
Rainer โคมไฟจากขวดเหล้าแบนและซีเมนต์ขัดมัน
โต๊ะทำงานไม้ เฟอร์นิเจอร์เก่าเก็บชิ้นเดียวภายในร้าน ถูกนำมาจัดวางไว้เพื่อระลึกถึงการทำงานหนักของคุณแม่ในสมัยก่อน
แม้ว่าจะมีร้านเป็นของตนเองแล้ว แต่คุณพิชานนท์เล่าว่า ยังคงจะเรียนรู้และหาประสบการณ์บนเส้นทางสายกาแฟต่อไป เพื่อค้นหาสูตรที่เป็นเอกลักษณ์ของร้านอย่างค่อยเป็นค่อยไปกับเมนูใหม่ๆที่จะทยอยเปิดตัวออกมาเรื่อยๆ
กาแฟของทางร้านใช้เมล็ดจากขุนข่างเคี่ยน โดยเลือกเมล็ดชนิดคั่วอ่อนกับคั่วกลางมาเบลนด์กัน ทำให้ได้รสเข้มกำลังดี นอกจากนี้ ยังมีน้ำผักผลไม้สกัดเย็นสูตรเฉพาะ ให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนรักสุขภาพ
และนี่คืองานออกแบบที่ใช้อัตราส่วน 40:60 ระหว่างความชอบของเจ้าของโปรเจ็กต์ กับพื้นที่ที่แบ่งไว้ให้ดีไซเนอร์ได้ปล่อยของอย่างเต็มที่ ซึ่งต้องอาศัยความเชื่อมั่นในตัวผู้ออกแบบเป็นอย่างมาก และจุดเด่นสำคัญของที่นี่ก็คือใช้ประโยชน์ของหนึ่งพื้นที่ทำอะไรหลายอย่าง เปรียบเสมือนตัวกลางที่เชื่อมผู้คน กาแฟ และงานศิลปะเข้าไว้ด้วยกัน