6 เรื่องราวเบื้องหลัง
ที่อาจทำให้คุณหลงรัก Studio Mumbai มากยิ่งขึ้น

Dsign Something พาเดินทางข้ามประเทศมาส่องอีกหนึ่งสตูดิโอสถาปัตยกรรมที่เราหลงรักอย่าง Studio Mumbai จากประเทศอินเดียกับรูปลักษณ์ของสถาปัตยกรรมร่วมสมัยที่โดดเด่นในแก่นแท้ การผสมผสานวัฒนธรรมซีกโลกตะวันออกและตะวันตก การปรุงแต่งความเป็นพื้นถิ่น  แบบงาน Craftmanship เข้ากับสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ สู่รายละเอียดของผลงานที่ซ่อนความพิถีพิถันในทุก ๆ องค์ประกอบ เราชวนมาดูเบื้องหลังงานออกแบบของ บีจอย เจน (Bijoy Jain) สถาปนิกและศิลปินแห่ง Studio Mumbai กันเลย!

บีจอย เจน (Bijoy Jain) สถาปนิกแห่ง Studio Mumbai (photography by Marlon Rueberg for PIN–UP)

จากนักว่ายน้ำมืออาชีพสู่นักออกแบบระดับโลก

บีจอย เจน (Bijoy Jain) เกิดที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย เขารักในสถาปัตยกรรมจึงตัดสินใจเริ่มศึกษาด้านนี้อย่างจริงจังและสำเร็จการศึกษาในเมืองมุมไบ ทุกอย่างกำลังไปได้ดีจนกระทั่งต้องเจอกับเรื่องเศร้าจากการสูญเสียคนในครอบครัว ทั้งคุณพ่อคุณแม่และพี่ชายในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ปัญหาหนักหนาเปลี่ยนชีวิตของเขาไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้ต้องโยกย้ายและถูกส่งตัวไปเรียนว่ายน้ำที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจนกลายเป็นนักว่ายน้ำมืออาชีพ

แต่ในท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจกลับมาเรียนปริญญาโทด้านสถาปัตยกรรมที่ตนเองรักอีกครั้ง ณ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน มลรัฐเซนต์หลุยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และหลังจากเรียนจบได้ไม่นานก็มีโอกาสได้เข้าทำงานที่สตูดิโอออกแบบของสถาปนิกระดับโลกอย่างริชาร์ด มายเออร์ (Richard Meier) ในช่วงปีค.ศ. 1989-1995 ก่อนจะตัดสินใจกลับมายังประเทศอินเดียเพื่อค้นหาแนวทางปฏิบัติทางด้านสถาปัตยกรรมเป็นของตนเอง จนเริ่มต้นก่อตั้ง Studio Mumbai ตามชื่อบ้านเกิด ด้วยรูปแบบการผลิตผลงานใหม่ที่มีทีมเล็ก ๆ รวมถึงช่างไม้และช่างสกัดรับผิดชอบทั้งการออกแบบและการก่อสร้าง

Utsav House Photographs: Courtesy of Studio Mumbai

Studio Mumbai และความรักใน Craftmanship

บ้านหลังแรกที่บีจอย เจนออกแบบหลังจบการศึกษาจากโรงเรียน ตั้งอยู่ที่เมือง Alibag ในพื้นที่ชนบทนอกมุมไบอีกฟากหนึ่งของอ่าว เขาสเก็ตช์แบบบ้านหลังนั้นอยู่เป็นเวลาหกเดือน แต่เมื่อถึงเวลาเริ่มก่อสร้าง เมื่อแสดงภาพสเก็ตช์ให้ช่างก่อสร้างท้องถิ่นดู บีจอยเล่าว่าเหล่าช่างต่างมองมาที่เขาเหมือนเป็นคนบ้า และปรากฎว่าภาพสเก็ตช์หกเดือนของเขาก็ไร้ประโยชน์ เพราะเขาไม่รู้ถึงวิธีสร้างต่างจากช่างที่มีเทคนิคต่าง ๆ มากมายที่น่าเหลือเชื่อ หลังจากนั้นเป็นต้นมาเขาจึงเรียนรู้ร่วมไปกับช่างก่อสร้าง เข้าไปคลุกคลีและสอบถามถึงกระบวนการ

“คนเหล่านี้รู้วิธีสร้าง พวกเขารู้ว่าต้องลงไปที่พื้นลึกแค่ไหน วัสดุควรเป็นอย่างไร หรือควรวางอย่างไร ซึ่งสำหรับผม มันเป็นช่วงแห่งการเรียนรู้ที่ยิ่งใหญ่ในการทำความคุ้นเคยกับกระบวนการออกแบบและก่อสร้างสถาปัตยกรรมอีกทางหนึ่ง”

กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ Studio Mumbai ทำงานออกแบบร่วมกับ Craftmanship จนเกิดเป็นเอกลักษณ์และกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นเป็นตัวของตัวเอง ความเป็นธรรมชาติมาก ๆ และขึ้นตรงกับบริบทนั้น ๆ จึงเรียกได้ว่าเป็นลายเซ็นในแก่นแท้ของแนวคิดที่ยากจะลอกเลียนแบบ

(photography by Marlon Rueberg for PIN–UP)

(Studio Mumbai By Iwan Baan)

Palmyra House บ้านใน Alibag เมืองชายทะเลใกล้กับมุมไบซึ่งเป็นเมืองหลวงที่คึกคักของอินเดีย บ้านหลังนี้เรียกได้ว่าเป็นแนวทางสถาปัตยกรรมของ Studio Mumbai ที่ผสานงานสถาปัตยกรรมเข้ากับภูมิทัศน์อย่างเต็มที่ บ้านพักตากอากาศนี้ซ่อนตัวอยู่ในสวนมะพร้าวออกแบบด้วยด้วยโครงสร้างไม้ 2 ชั้น ซึ่งฟาซาดของอาคารส่วนใหญ่ปกคลุมด้วยบานเกล็ดที่ทำจากลำต้นของต้นปาล์มไมราที่หาได้ในท้องถิ่น รวมถึงได้รับความร่วมมือในการก่อสร้างจากทีมช่างฝีมือท้องถิ่นเช่นเดียวกัน

(Palmyra House  https://www.filt3rs.net/case/airshadow-studio-mumbai-495)

การผสมผสานระหว่างวัฒนธรรม

ด้วยความที่เกิดและเติบโตในซีกโลกตะวันออกที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรม ศิลปะ วิทยาการและเรื่องราวทางสังคมมากมาย บีจอย เจน แห่ง Studio Mumbai จึงยึดหลักการออกแบบและการก่อสร้างที่รวมงานฝีมือท้องถิ่นและงานฝีมือแบบดั้งเดิม (Local) ผสมผสานกับศาสตร์ของการออกแบบรวมถึงประสบการณ์จากซีกโลกตะวันตกที่ได้เรียนรู้มา

เรียกได้ว่า Studio Mumbai ในตอนแรกเริ่มเป็นกลุ่มของมนุษย์ของช่างฝีมือและสถาปนิกผู้มีทักษะในการออกแบบและสร้างงานโดยตรง เมื่อรวมตัวกัน กลุ่มนี้จะมีการสำรวจแนวคิดผ่านการผลิตแบบจำลองขนาดใหญ่ การศึกษาวัสดุ ภาพร่าง ภาพวาด โดยให้ความสำคัญไปที่บริบทและไซต์ เพื่อดึงทักษะดั้งเดิม อย่างเทคนิคการก่อสร้างในท้องถิ่น งานวัสดุต่าง ๆ การเลือกใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด และนำแรงบันดาลใจมาจากสภาพชีวิตจริง โดยพวกเขาจะสังเกตถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ภายในแต่ละโครงการโดยไม่มี ‘อคติ’ และมีแก่นแท้ของงานอยู่ที่ความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่และสถาปัตยกรรม ซึ่งต้องสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมตลอดฤดูกาล ทั้งหมดที่เรากล่าวมาเปรียบดังปรัชการการออกแบบของ Studio Mumbai ที่ยังแข็งแกร่งมาจวบจนปัจจุบัน

“แนวคิดที่ผมทำงานร่วมกับช่างฝีมือและงานฝีมือเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดที่เรียกว่า ‘ความยั่งยืน’ ในภาพที่ใหญ่กว่า ผมพยายามใช้สิ่งที่มีในสภาพที่เข้าถึงได้ ประหยัดและคล่องตัวที่สุด”- Bijoy Jain

(Studio Mumbai https://www.anniversary-magazine.com/all/2019/5/15/qa-with-bijoy-jain-mumbai-studio)

Copper House II บ้านทรงกล่องสี่เหลี่ยมหน้าตาธรรมดา มุมมองจากเปลือกภายนอกปิดบังไม่ให้คนทั่วไปมองเห็นพื้นที่ภายในได้ชัดเจนนัก ผังอาคารรูปตัว O แยกระดับพื้นบ้านออกเป็น 2 ระดับ โดยพื้นคอนกรีตเปลือยสำหรับพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน และลานแผ่นหินปูทับบนพื้นดินสำหรับพื้นที่คอร์ทยาร์ดหินกลางแจ้ง ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางของบ้านที่จัดวางก้อนหินธรรมชาติเอาไว้แบบเรียบง่าย นิ่งสงบ ไร้ซึ่งหลังคาปกคลุม ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยได้เปิดประสบการณ์รับรู้สภาพภูมิอากาศในเวลานั้น ๆ อย่างใกล้ชิด มองเห็นท้องฟ้าผืนกว้างพร้อมแสงอาทิตย์สอดส่องได้โดยไม่ต้องก้าวเท้าออกไปไหน สัมผัสไอละอองความชื้น รับฟังเสียงน้ำไหลในเวลาฝนพรำ ทดลองเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับฤดูกาลของธรรมชาติมากขึ้น

บทบาทของการเป็นนักออกแบบที่มากกว่าการเป็นสถาปนิก

ตั้งแต่สเกลของงานสถาปัตยกรรม งานออกแบบภายใน งานเฟอร์นิเจอร์ ไปจนถึงการออกแบบนิทรรศการ การเรียก บีจอย เจน ว่าเป็นศิลปินควบคู่ไปกับการเป็นสถาปนิกจึงไม่ผิดนัก โดยตัวเขาเองเชื่อว่า งานสถาปัตยกรรม ศิลปะ ศิลปิน หรือสถาปนิก ต่างเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งเดียวกัน โดยมีแนวคิดสำคัญคือการ ‘ปล่อยวาง’ และการลดอคติทางความคิดลง ศิลปะแสดงถึงความคิดของมนุษย์ ชีวิต และสิ่งแวดล้อม ในขณะที่สถาปัตยกรรมเป็นเรื่องของการสร้างสรรค์พื้นที่ แต่สิ่งที่ทั้งสองสิ่งนี้มีร่วมกัน คือ ‘การรักษาคุณภาพหรือแนวคิดดั้งเดิมผ่านการทดลอง’ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวเป็นวิธีการฝึกฝน (Practice) ทางสถาปัตยกรรมและศิลปะของเขาเรื่อยมา

Lounge Chair III Bijoy Jain x Maniera สิ่งที่โดดเด่นและแสดงออกอย่างชัดเจนคือ ‘ความเบา’ ของเก้าอี้ตัวดังกล่าว ด้วยความละเอียดอ่อนจากการเลือกใช้เทคนิคการทอจากเชือก และการใช้ไม้สัก ไม้พยูงบ่งบอกถึงความทันสมัยและแสดงถึงความประณีตในงานฝีมืออินเดียแบบดั้งเดิม

BRICK STUDY III bench การออกแบบม้านั่งอิฐตัวนี้ เกิดจากการสำรวจว่าวัสดุสเกลสถาปัตยกรรมที่ใช้กันทั่วไปอย่างอิฐ จะสามารถนำมาออกแบบเป็นงานสเกลใกล้ชิดอย่างเฟอร์นิเจอร์ได้อย่างไร? ทีมงานของบีจอย เจนได้ผลิตอิฐเล็กขนาดจริงที่ติดกาวเข้าด้วยกันเพื่อสร้างพนักพิงที่นั่ง โดยศึกษามาจากเทคนิคการหล่ออิฐซ้อนแห้งในแบบดั้งเดิม

ผลงานที่อยู่กึ่งกลางระหว่างบริบทและความเป็นสากล

ถึงแม้เราจะบอกว่างานสถาปัตยกรรมของ Studio Mumbai ขึ้นตรงกับบริบทนั้น ๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าบริบทเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของการออกแบบเสมอไป เพราะบีจอย เจน มองว่าความสำเร็จของโครงการนั้น ๆ คือ การที่เราสามารถสะท้อนเรื่องราวของบริบทให้เข้ามาอยู่ในผลงาน แต่ในขณะเดียวกันผลงานชิ้นนั้นควรจะกลายเป็นสากล และสามารถมีอยู่ได้ทุกที่ ไม่ใช่เพียงบริบทที่สะท้อนถึงสถานที่นั้น ๆ เพียงอย่างเดียว

ยกตัวอย่าง ผลงานปรับปรุงโรงกลั่นไวน์ Beaucastel ที่ Chateauneuf-du-Pape ในช่วงฤดูร้อนปี 2018 ซึ่งมีสถาปนิกชื่อดังเข้าร่วมโครงการหลายคนอย่าง Shigeru Ban และ John Pawson แต่ Studio Mumbai ชนะการแข่งขันอันทรงเกียรติด้วยแนวคิดที่ได้รับขนานนามว่าเป็นการออกแบบเชิงนิเวศวิทยาอย่างลึกซึ้ง พร้อมแสดงออกถึงวิสัยทัศน์ทางสถาปัตยกรรมที่สื่อถึงทั้งภาษาพื้นถิ่นและความร่วมสมัยด้วยแนวทางที่เป็นนวัตกรรมสมัยใหม่ แต่สร้างจากกระบวนการก่อสร้างที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความรู้ของเหล่าบรรพบุรุษ

ARCHITECTURE COMPETITION : DOMAINE DE BEAUCASTEL https://competition.bam.archi/beaucastel

‘Work-Place’ และ ‘In between Architecture’ ผลงานสร้างชื่อ

แม้ว่าโครงการส่วนใหญ่ของ Studio Mumbai จะเป็นบ้านที่ตั้งอยู่ทั่วประเทศอินเดีย แต่โครงการจำนวนหนึ่งของพวกเขาก็ประสบความสำเร็จและเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ ผลงานสร้างชื่อของเขาคือ ‘Work-Place’ ที่งาน Venice Architecture Biennale ปี 2010 โดยเป็นการนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ผ่านการทำและการออกแบบที่ไม่เหมือนใคร อีกหนึ่งผลงานสร้างชื่อที่ช่วยเสริมชื่อเสียงของสตูดิโอ คือนิทรรศการ ‘In between Architecture’ ณ พิพิธภัณฑ์ Victoria and Albert ในกรุงลอนดอน โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก Parasitic Architecture (สถาปัตยกรรมกาฝาก) ที่เกิดขึ้นระหว่างอาคารที่มีอยู่ในใจกลางเมืองหนาแน่นสูง อย่างเช่น มุมไบ

Work-Place Exhibition
สร้างขึ้นครั้งแรกสำหรับงาน Venice Architecture Biennale ครั้งที่ 12 โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างบรรยากาศที่ส่งเสริมสถาปัตยกรรมขึ้นใหม่ เป็นวิธีการทำงานที่อ้างอิงจาก “การเรียนรู้ผ่านการทำ” ของ Studio Mumbai ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของวิธีการที่สถาปัตยกรรมถูกดึงมาจากการสังเกตธรรมชาติ บรรยากาศ โครงสร้าง และธรรมชาติที่หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว

‘In between Architecture’ Installation Architecture จัดแสดงขึ้นที่พิพิธภัณฑ์ V&A ในลอนดอน โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ ‘1:1 – architects build small spaces’ โดยอ้างอิงจากที่อยู่อาศัยหนาแน่นในเขตเมืองแคบ ๆ ของประเทศอินเดีย แม้ว่าโครงสร้างจะค่อนข้างเล็ก แต่บ้านเหล่านั้นนำเสนอทางเลือกในการออกแบบที่ชาญฉลาดสำหรับเมืองที่มีพื้นที่จำกัด  ‘In between Architecture’ จึงสะท้อนแนวคิดพื้นที่ว่างในเมืองมุมไบ แต่อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของสถาปนิกไม่ใช่การพยายามสร้างอาคารให้เหมือนจริง แต่มีเป้าหมายที่จะเติมสุนทรียะ และความสวยงามเข้าไปในพื้นที่ลักษณะนี้มากขึ้น

Writer
Rangsima Arunthanavut

Rangsima Arunthanavut

Landscape Architect ที่เชื่อว่าแรงบันดาลใจในงานออกแบบ สามารถเกิดขึ้นได้จากทุกสิ่งรอบตัว และการบอกเล่าเรื่องราวการออกแบบผ่าน 'ตัวอักษร' ทำให้งานออกแบบที่ดี 'มีตัวตน' ขึ้นมาบนโลกใบนี้