โบโกตา จากปณิธานอันเข้มแข็ง
สู่เมืองแห่งความสุขที่ยั่งยืน

โบโกตา (Bogotá) เป็นเมืองหลวงในประเทศโคลัมเบียซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 1,800 ตร.กม.มีประชากรกว่า 7 ล้านคน (กรุงเทพฯ มีพื้นที่ 1,600 ตร.กม. มีประชากรมากกว่า 10 ล้านคน) ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 ประเทศโคลัมเบียเกิดสงครามกลางเมืองระหว่างกลุ่มความเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายฝ่าย โบโกตาที่เป็นเมืองหลวงต้องประสบปัญหาผู้ลี้ภัยเข้าเมืองจำนวนมาก ความเหลื่อมล้ำ อาชญากรรม ยาเสพติดและมลภาวะ ในปีค.ศ. 1995 เพียงปีเดียวมีผู้ถูกฆาตรกรรมกว่า 3,360 ราย หรือวันละ 10 คน ผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนกว่า 1,380 คน สภาพแวดล้อมเต็มไปด้วยความโหดร้ายรุนแรง ชาวเมืองโบโกตากว่าสามในสี่สิ้นหวังกับอนาคตของประเทศ

แสงแห่งความหวังสู่เมืองโบโกตา

ในปีคศ. 1995 นี้เองเป็นจุดเริ่มต้นสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ด้วยชัยชนะจากคะแนนเสียงอันถล่มทลาย ทำให้ อันตานัส มอคคุส (Antanas Mockus) นักการเมืองอิสระได้ขึ้นแท่นเป็นนายกเทศมนตรีเมืองโบโกตา อันตานัส (เกิด 25 มีนาคม คศ. 1952) เป็นชาวโคลอมเบีย นักคณิตศาสตร์ อดีตศาสตราจารย์และอธิการบดีมหาวิทยาลัยโคลอมเบีย แม้กับผู้ที่สนับสนุนก็บอกว่าเขาเป็นคนที่ดูออกจะแปลกอยู่บ้าง เช่นการเปิดก้นใส่นักศึกษาที่มาประท้วงจนทำให้เขาต้องลาออกจากการเป็นอธิการบดี หรือการลงพื้นที่ในชุด “Super Citizen” ที่ละม้ายคล้ายคลึงกับซุปเปอร์แมน อันตานัสมีความเชื่อแตกต่างกับนักการเมืองกับคู่แข่ง เอนริเก เปนญาโลซา (Enrique Peñalosa) โดยสิ้นเชิง ในขณะที่เอนริเกเน้นการแก้ไขพัฒนาสาธารณูปโภค อันตานัสเปรียบเมืองโบโกตาเป็นห้องเรียนขนาดใหญ่ โดยมีตัวเขาและคณะเป็นผู้คอยแนะนำปรับเปลี่ยนทัศนคติของชาวเมือง สำหรับอันตานัสนั้นการเป็นพลเมืองที่ดีนอกจากสิทธิทางสังคมแล้ว ประชาชนต้องเคารพสิทธิผู้อื่นและเคารพต่อหน้าที่พลเมืองด้วย การกระทำที่ดูจริงใจและตรงไปตรงมานี้เองทำให้ผู้คนมากมายให้การสนับสนุนเขาจนสุดท้ายได้ตำแหน่งนายกเทศมนตรีไปในที่สุด

อันตานัส มอคคุส (Antanas Mockus)
อันตานัส มอคคุส ในมาด Super Citizen

หลักจากที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกเทศมนตรีแล้ว อันตานัสได้ออกนโยบายอีกหลายอย่าง เช่นการว่าจ้างนักแสดงละครใบ้กว่า 400 คนออกไปล้อเลียนคนขับและคนเดินเท้าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร หรือการแจกจ่ายใบแดงให้กับประชาชน เพื่อที่จะชูใส่คนขับยานพาหนะที่ทำผิดกฎแทนที่จะทะเลาะกัน และยังรณรงค์ให้บริจาคปืนในวันปลดอาวุธ เพื่อที่จะหลอมไปทำเป็นช้อนส้อมให้เด็ก ถึงแม้ว่ามีคนบริจาคแค่เพียง 1% ของจำนวนปืนที่มีอยู่ในเมือง แต่ก็ทำให้ชาวเมืองรู้สึกปลอดภัยในการไปไหนมาไหนมากขึ้น

นักแสดงละครใบ้กว่า 400 คน ออกปฏิบัติหน้าที่ ล้อเลียนคนขับรถผิดกฎจราจร

นอกจากนี้เขายังว่าจ้าง กิลเญโม เปนญาโลซา (Guillermo Peñalosa) นักธุรกิจและนักวางผังเมือง น้องชายของเอนริเกคู่แข่งตนเอง เพื่อมาดูแลสวนในเมืองและโครงการ La Ciclovia อีกด้วย อันตานัสเข้มงวดเรื่องความโปร่งใสมาก เขาไล่ตำรวจจราจรที่ทุจริตรับสินบนออกทั้งหมด และสามารถทำให้กว่า 60,000 ครัวเรือนเต็มใจที่จะจ่ายภาษีมากกว่าเดิมถึง 10% เพื่อนำมาพัฒนาบ้านเมือง สุดท้ายอันตานัสสามารถเปลี่ยนทัศนคติของผู้คนต่อเมืองของตัวเองจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพื่อพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึงโดยนายกเทศมนตรีคนต่อไป

พื้นที่สาธารณะ Eje Ambiental (ค.ศ. 1999) ซึ่งมีความยาวกว่า 2.8 กิโลเมตร ตัดผ่านใจกลางถนนโดยมีเส้นทางสัญจรรถยนต์ขนานสองฝั่ง

การต่อสู้เพื่ออนาคต

ก่อนที่ เอนริเก เปนญาโลซา (Enrique Peñalosa) จะชนะการเลือกตั้งในปี 1998 เมืองโบโกตามีองค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JICA, Japan International Cooperation Agency) เป็นที่ปรึกษาในการวางผังเมืองอยู่เดิม ซึ่ง JICA ได้วางผังทางด่วนมากมายเพื่อลดปริมาณจราจรติดขัดในเมือง แต่ในความเป็นจริงแล้วมีเพียงแค่ร้อยละยี่สิบของครัวเรือนโบโกตาเท่านั้นที่มีรถส่วนตัว และส่วนใหญ่กระจุกอยู่บริเวณทางตอนเหนือของเมืองโบโกตาซึ่งเป็นที่อยู่ของคนมีฐานะ เอนริเกรู้ดีว่างบโครงการจำนวน 5 พันล้านดอลลาห์นั้นไม่ส่งผลดีให้กับชาวเมืองส่วนใหญ่อย่างแน่นอน เขาจึงระงับการพัฒนาทางด่วนเมืองโบโกตาทันที เอนริเกให้สัมภาษณ์ว่า คนคงมองว่าเป็นเรื่องปกติที่เมืองกำลังพัฒนาจะนำงบเป็นพันล้านไปใช้กับการก่อสร้างทางด่วน แต่จะไปมีประโยชน์อะไรถ้ายังมีโรงเรียนไม่เพียงพอ ท่อระบายน้ำไม่ทั่วถึง และไม่มีพื้นที่สีเขียวในเมือง

เอนริเก เปนญาโลซา

นโยบายต่อกรกับรถยนต์ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เอนริเกขึ้นภาษีน้ำมันกว่า 40% และนำงบประมาณทั้งหมดไปใช้พัฒนาพื้นที่สาธารณะ การคมนาคม และสถาปัตยกรรมทำให้ชาวเมืองได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เอนริเกไม่ได้พัฒนาเมืองเพื่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เขาทวงคืนพื้นที่สาธารณะจากคนยากจนที่มาจับจองโดยพลการ และขับไล่คนขายแผงลอยข้างถนนกว่าพันคนให้ออกไปจากจตุรัสเมืองเพื่อที่จะปรับปรุงพื้นที่ ถึงแม้นโยบายที่รุนแรงจะทำให้ช่วงแรกมีคนต่อต้านจำนวนมาก แต่ด้วยการทำงานที่รวดเร็ว และความพยายามที่จะเปิดโอกาสให้ประชาชนมาเป็นส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองนั้นทำให้เห็นผลลัพธ์ของการพัฒนาที่ชัดเจน เอนริเกเชื่อว่าพื้นที่สาธารณะนั้นมีเพื่อส่วนรวมอย่างแท้จริง

Plaza Calle 80 หนึ่งในที่จอดรถซึ่งถูกเปลี่ยนเป็นพื้นที่สาธารณะภายใต้นโยบายของเอกริเก

โบโกตา เมืองแห่งจักรยาน

โบโกตามีนโยบายหลายอย่างที่สนับสนุนการใช้จักรยาน เนื่องจากชาวเมืองโบโกตาเพียง 1 ใน 5 เท่านั้นที่มีรถยนต์ส่วนตัว เช่น ลา ซิโคลเวีย (La Ciclovia) ภาษาสเปนแปลว่าทางจักรยาน เป็นการปิดถนนเส้นหลักตั้งแต่ตอนเหนือไปจนถึงตอนใต้ของเมือง ซึ่งมีความยาวร่วม 120 กิโลเมตรในทุกวันอาทิตย์ ตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึงบ่าย 2 โมง ซิโคลเวียถือได้ว่าเป็นนโยบายที่ใช้งบประมาณน้อยมาก เนื่องจากเป็นการใช้กับโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่เดิม แม้แต่เจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยก็เปลี่ยนจากการว่าจ้างเป็นรับอาสาสมัครแทน ซิโคลเวียได้มอบความเท่าเทียมให้กับโบโกตาด้วยการเชื่อมส่วนเหนือและใต้เข้าด้วยกัน ทางเหนือของเมืองส่วนใหญ่เป็นที่อยู่ของประชาชนที่มีเงินทอง ส่วนทางตอนใต้จะเป็นบ้านของคนที่ฐานะไม่ค่อยดีนัก ในทุกวันสุดสัปดาห์นี้เองจะเป็นช่วงเวลาที่เส้นแบ่งฐานะจางลง ผู้คนกว่าล้านคนทั่วเมืองออกมาปั่นจักรยานจากฝั่งหนึ่งไปสู่อีกฝั่งหนึ่ง ไม่มีรถยนต์หรูบ่งบอกฐานะ ไม่มีการจราจรติดขัด ทุกคนออกมาอยู่บนพื้นที่สาธารณะที่เท่าเทียมกัน

La Ciclovia วันอาทิตย์ตั้งแต่ 7 โมงเช้า ถึงบ่าย 2 โมง
คนจำนวนมากออกมาใช้พื้นที่ถนน

ถึงแม้รายได้ของชาวเมืองทุกคนจะเป็นสิ่งที่ทำให้เท่ากันได้ยาก แต่เอนริเกเน้นในความเท่าเทียมในคุณภาพชีวิตชาวเมือง และสร้างสิ่งแวดล้อมที่ไม่ทำให้ใครรู้สึกต่ำต้อยและแปลกแยก เอนริเกกล่าวว่า “สมัยก่อนคนปั่นจักรยานคือคนจน เมื่ออยู่บนท้องถนนจะถูกมองว่าเป็นสิ่งน่ารำคาญ ดังนั้นคุณค่าที่สำคัญที่สุดของทางจักรยานนั้นคือการแสดงว่าจักรยานราคาไม่ถึงสามสิบดอลลาห์ก็มีค่าไม่ต่างจากรถ BMW ราคาสามหมื่น” โครงการซิโคลเวียนี้ได้เป็นต้นแบบให้กับหลายประเทศเช่น Summer Street ในนิวยอร์ค หรือ Sky Rides ในสหราชอาณาจักร นอกจากนี้เมืองโบโกตายังมีวันปลอดรถยนต์ (el día sin carro) ในทุกปีอีกด้วย

ถนนในเมืองโบโกตามีการแบ่งสัดส่วนของทางวิ่งรถยนต์และทางจักรยานอย่างชัดเจน ในบางพื้นที่จะใช้สีเพื่อกำหนด

รถสีแดงลิปสติกแห่งเมืองโบโกตา

              Transmilenio เป็นระบบขนส่งด่วนรถประจำทาง ต้นแบบ BRT (Bus Rapid Transit) ที่กรุงเทพฯนำมาประยุกต์ใช้นี่เอง จริงๆแล้วจุดกำเนิดของ BRT อยู่ที่ประเทศอังกฤษ แต่เมืองโบโกตานำมาใช้เมื่อช่วงปี 2000 แล้วประสบความสำเร็จมาก จึงเป็นจุดเริ่มต้นความนิยมการใช้ BRT ในประเทศอื่นๆ รถบัสของเมืองโบโกตานั้นมีสีแดงสดเหมือนลิปสิก และชานชาลาก็สร้างด้วยวัสดุคุณภาพดี ทำให้การไปไหนมาไหนด้วยรถบัสสำหรับชาวเมืองโบโกตานั้นเป็นอะไรที่ดู “เซ็กซี่” ขึ้นมาทันที เป็นการยกระดับสถานะการขนส่งมวลชนตามจุดประสงค์ของเอนริเก ถึงแม้ว่าคนใช้บริการส่วนใหญ่จะเป็นคนที่รายได้ไม่มาก แต่ก็ดูดีไม่แพ้คนนั่งรถหรูท่ามกลางการจราจรที่ติดขัด ปัจจุบันมีคนสัญจรด้วยรสบัสทรานส์มิเลนนิโอกว่า 1.4 ล้านคนต่อวัน โดยเฉลี่ยแล้วจะช่วยประหยัดเวลาบนท้องถนนได้มากกว่า 40 นาทีต่อวัน ซึ่งคิดเป็นเวลากว่า 300 ชั่วโมงต่อปี!

รถประจำทาง Transmilenio

อาคารสาธารณะและการพัฒนาพื้นที่แบบกลับหัว

หอสมุดสาธารณะ El Tintal Library ตั้งตระหง่านอยู่กลางย่าน El Paraiso (ภาษาสเปน แปลว่าสวงสวรรค์ Paradise) ที่อยู่ของคนมีรายได้น้อยทางตอนใต้ของเมืองโบโกตา เดิมหอสมุดแห่งนี้เป็นโรงงานกำจัดขยะที่ภายหลังถูกปรับเปลี่ยนเป็นหอสมุด โดยสถาปนิกชาวโคลอมเบียดาเนล เบอมูเดส (Daniel Bermúdez) เอล ทินเทามีพื้นที่ 6,650 ตร.ม. ประกอบไปด้วยห้องอ่านหนังสือ ห้องประชุมย่อย ห้องอ่านหนังสือพิมพ์ ห้องมิลติมีเดีย ห้องคอมพิวเตอร์ ห้องประชุมใหญ่ 160 ที่นั่ง และห้องสำหรับเด็กจุได้ 200 คนซึ่งประกอบไปด้วยห้องอ่านหนังสือ เวิร์คชอป ห้องสันทนาการ เป็นต้น อาคารแห่งนี้เป็นเพียงหนึ่งในอาคารสาธารณะอีกหลายแห่งที่ถูกสร้างภายใต้นโยบายความเท่าเทียมของเอนริเก ถึงแม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่ที่รายได้ไม่มาก แต่สามารถเข้าถึงความรู้ได้เหมือนกัน

ห้องสมุด El Tintal (ค.ศ. 2001)
ห้องสมุด El Tintal (ค.ศ. 2001)

นอกจากนี้การพัฒนาถนนในพื้นที่สลัมหลายแห่งยังมีการพัฒนาแบบกลับหัว (Upside-down development) นั่นคือการปูพื้นตรงกลางสำหรับคนเดินเท้า ปั่นจักรยาน และใช้เป็นพื้นที่สาธารณะ โดยให้รถยนต์วิ่งขนาบสองข้างแทน ในบางพื้นที่ถึงกับปล่อยให้ถนนสำหรับรถยนต์เป็นทางลูกรังและพัฒนาทางเท้าก่อน เนื่องจากคนในย่านมีเพียง 1% เท่านั้นที่มีรถส่วนตัว ซึ่งต่างจากทัศนคติของประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่งซึ่งเน้นการตัดถนนลาดยางโดยถือว่าเป็นตัวบ่งชี้ความเจริญ

การพัฒนาถนนแบบกลับหัวในเขต El Paraiso

ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว…แบบไม่ได้ตั้งใจ

การพัฒนาเมืองตามแนวคิดของเอนริเกนั้นไม่ได้คำนึงถึงเรื่องการการลดโลกร้อนเป็นสำคัญสักเท่าไหร่ แต่หลังจากที่เอนริเกสามารถทำให้ชาวเมืองโบโกตามีความสุขมากขึ้นแล้ว ช่วงท้ายปีคศ. 2000 เขากลับได้รับรางวัล The Stockholm Challenge Award for the Environment เนื่องจากเมืองโบโกตาสามารถลดการใช้รถยนต์ไปได้กว่า 850,000 คันในวันปลอดรถยนต์ (Car-Free Day) นอกจากนี้ระบบ Transmilenio ยังได้ถูกรับรองภายใต้กลไกการพัฒนาที่สะอาดขององค์การสหประชาชาติ (UN’s Clean Development Mechanism) ซึ่งหมายความว่าเมืองโบโกตาสามารถขายคาร์บอนเครดิตให้กับคู่กรณีที่ปล่อยมลภาวะในประเทศอื่น นอกจากนี้โครงการพัฒนาทางจักรยาน สวนสาธารณะ ซิโคลเวีย และการพัฒนาถนนแบบกลับหัว ยังได้รับรางวัล Golden Lion Prize ในงานสถาปัตยกรรมเบียนนาเล่ที่กรุงเวนิส ประเทศอิตาลีอีกด้วย รางวัลสิ่งแวดล้อมมากมายนี้เองเป็นตัวบ่งชี้ว่าทางออกของเมืองสีเขียวกับเมืองแห่งความสุข อาจจะสามารถพัฒนาควบคู่ไปด้วยกันได้

Figure 10 La Ciclovia การปฏิวัติถนนให้เป็นพื้นที่สาธารณะ

ด้วยทัศนคติที่ดีของผู้นำและความร่วมมือของประชาชนส่งผลให้เมืองโบโกตาเกิดความเปลี่ยนแปลงมหาศาลในระยะเวลาไม่กี่สิบปี มีโรงเรียนใหม่เกิดขึ้นมากมาย สถานรับเลี้ยงเด็กกว่า 100 แห่ง สวนสาธารณะกว่า 900 แห่งทั่วเมือง มีต้นไม้เพิ่มขึ้นกว่า 100,000 ต้น อาคารห้องสมุดสาธารณะ 3 อาคารในพื้นที่ยากจน ในปัจจุบันเมืองโบโกตามีเส้นทางจักรยานกว่า 330 กม. รถบัส Transmilenio ซึ่งเป็นต้นแบบ BRT ที่ใช้ในกรุงเทพฯ La Ciclovia กิจกรรมปิดถนนยาวกกว่า 120 กม. ในวันอาทิตย์เพื่อใช้เป็นทางจักรยานและพื้นที่สาธารณะ และอื่นๆอีกมากมาย ชาวเมืองโบโกตาส่วนใหญ่กลับมามีความหวังกับอนาคตของบ้านเมือง สามารถกล่าวได้ว่าเมืองโบโกตากำลังเดินทางเข้าสู่เมืองแห่งความสุขที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง

References

Gehl, J. (2010). Cities for People. Island Press.

Initiative, G. D. (n.d.). Community Led Processes Create Better Streets in Bogotá. Retrieved from https://globaldesigningcities.org/2016/11/29/storing-cars-celebrating-people-community-lead-processes-help-creating-better-streets-bogota/

Montgomery, C. (2013). Happy City. Penguin Books.

Peñalosa, E. (2013). TED Talk: Why buses represent democracy in action. Retrieved from https://www.youtube.com/watch?v=j3YjeARuilI&t=682s

วีระภาสพงษ์, ภ. (2012). กว่าจะเป็นโบโกตาเมืองจักรยาน (๑). Retrieved from https://www.sarakadee.com/2012/10/17/bogota-antanas-mockus/

หงษ์ทอง, ก. (2019). โบโกตา เมืองหลวงแห่งความเบิกบาน. Retrieved from https://thestandard.co/colombia-bogota/

Writer
Panon Sooksompong

Panon Sooksompong

สถาปนิกที่หลงใหลในการค้นคว้าสู่นักเขียนผู้ถ่ายทอดเรื่องราว จากกองหนังสือที่เอามารองนอน ตอนนี้ได้ฤกษ์จะถูกหยิบมาเปิดอ่านไปพร้อมกัน