ถ้าอาคารหลังหนึ่ง ถูกรื้อถอนแล้วสร้างใหม่ให้หน้าตาเหมือนเดิม จะสามารถเรียกได้ว่าอาคารหลังนั้นเป็นอาคารเดิมได้อยู่หรือไม่? และอะไรคือจุดประสงค์ที่ทำให้อาคารกว่าร้อยหลังท่ามกลางป่าสนโบราณในประเทศญี่ปุ่น มีการรื้อแล้วสร้างใหม่อย่างต่อเนื่องมาแล้วถึงสองพันปี? คำว่า อนุรักษ์ มีความหมายว่า การรักษาให้คงเดิม การอนุรักษ์โบราณสถานตามหลักสากลมีใจความเน้นหนักในการคงรักษาโบราณสถานให้อยู่ในสภาพเดิมมากที่สุด แต่ไม่ใช่กับสถาปัตยกรรมอายุกว่าสองพันปี อย่างศาลเจ้าอิเสะที่จังหวัดมิเอะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งอนุรักษ์เพียงจิตวิญญาณของสถานที่ เนื่องจากมีการรื้อถอนแล้วสร้างใหม่ทุกๆ 20 ปี ศาลเจ้าที่ครั้งหนึ่งถูกมองว่าไม่เห็นมีอะไรในสายตาสถาปนิกชาวตะวันตก แต่แท้จริงแล้วมีคุณค่าและความงามที่ลึกซึ้งมากกว่าเพียงแค่ตาเห็น ศาลเจ้าอิเสะได้ก่อให้เกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับการอนุรักษ์โบราณสถาน ความไม่ยึดติดกับรูปธรรม แต่เป็นการส่งต่อความรู้ วัฒนธรรม และจิตวิญญาณ จนสามารถตั้งอยู่ได้นับพันปี วันนี้เราจะมาเล่าให้ฟัง
ศาลเจ้าเก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น ครอบคลุมบริเวณเท่ากับกรุงปารีส
ศาลเจ้าอิเสะ (Ise Jingū, Ise Grand Shrine) เป็นหนึ่งในศาลเจ้าชินโตที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดสำหรับชาวญี่ปุ่น เรียกได้ว่าเทียบเท่ากับนครศักดิ์สิทธิ์เมกกะของชาวมุสลิมเลยทีเดียว ตามหลักศาสนาชินโต ธรรมชาติรอบตัวล้วนมีเทพสถิตอยู่ และ ณ ศาลเจ้าอิเสะแห่งนี้เป็นที่ประทับของเทพเจ้าสูงสุด อะมะเตะระสุ โอะมิคะมิ (Amaterasu Ōmikami) หรือเทพีแห่งแสงอาทิตย์ ต้นกำเนิดของศาลเจ้าอิเสะนั้นไม่ทราบแน่ชัด มีตำนานเล่าว่ากว่าสองพันปีที่แล้ว เจ้าหญิงองค์หนึ่งได้ออกเดินทางแสวงหาสถานที่เพื่อเป็นที่ประทับของเทพีอะมะเตะระสุ จนได้ยินเสียงบอกความประสงค์ถึงสถานที่ตั้งศาลเจ้าในปัจจุบันนั่นเอง
ศาลเจ้าอิเสะตั้งอยู่ในป่าสนโบราณ อุทยานแห่งชาติ อิเสะ-ชิมะ โดยศาลเจ้าอิเสะประกอบไปด้วย 125 ศาล แบ่งออกเป็นสองส่วน ได้แก่ ศาลใน (Naikū) เป็นที่ประทับของ เทพีอะมะเตะระสุ โอะมิคะมิ (Amaterasu Ōmikami) ห่างออกไปจากศาลในกว่าหกกิโลเมตร เป็นสถานที่ตั้งของ ศาลนอก (Gekū) ซึ่งเป็นที่ประทับของ เทพีโตะโยะอุเคะ โอะมิคะมิ (Toyouke Ōmikami) เทพีแห่งการเกษตรและอุตสาหกรรม นอกจากนี้ยังมีศาลเจ้าประกอบอื่นๆกระจายอยู่ทั่วป่าอีก 123 ศาลทั่วภูเขา โดยอาณาเขตศาลเจ้าอิเสะทั้งหมดนั้นเทียบเท่ากับกรุงปารีสเลยทีเดียว บริเวณของศาลในถูกคั่นด้วยแม่น้ำอิสุซุ (Isuzu) โดยมีสะพานอุจิบะชิ (Ujibashi) ทำหน้าที่เชื่อมระหว่างดินแดนสามัญชนและพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เข้าด้วยกัน หินกรวดสีขาวถูกโปรยเป็นช่วงๆตามริมฝั่งแม่น้ำ เรียกว่า มิตะระชิ (Mitarashi) เป็นบริเวณที่ผู้มาเยือนจะได้ชำระล้างร่างกายและจิตใจตามประเพณีที่สืบเนื่องกันมาตั้งแต่โบราณ
ศาลเจ้าอิเสะถูกสร้างในรูปแบบที่เรียบง่าย ใช้ไม้สนเป็นวัสดุหลัก โครงสร้างเสาคานทำจากท่อนซุงขนาดใหญ่ เสาไม้ปักลงใต้ดินโดยตรงไม่มีหิน (Foundation Stone) เป็นฐานราก ตัวศาลเจ้ายกใต้ถุนสูงล้อมรอบด้วยเฉลียง อาคารคลุมด้วยหลังคาแฝก (Thatch) คาดว่าลักษณะอาคารมีอิทธิพลมาจากยุ้งข้าวในสมัยก่อน นักทฤษฎีสถาปัตยกรรม หนึ่งในผู้ขับเคลื่อน Metabolism Movement ในประเทศญี่ปุ่น คาวาโซเอะ โนโบรุ (Kawazoe Noboru) ถึงกับยกย่องให้ศาลเจ้าอิเสะเป็นตัวแทนของสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นของญี่ปุ่น (Japanese Folk Architecture) เลยทีเดียว
รื้อแล้วสร้างใหม่ วงจรการเกิดและดับไปของศาลเจ้าอันศักดิ์สิทธ์
ทุกๆ 20 ปี ศาลเจ้าอิเสะ ทั้งศาลใน ศาลนอก และศาลเจ้าประกอบอื่นๆ จะถูกบูรณะด้วยการรื้อถอนแล้วสร้างใหม่ เรียกว่าประเพณี ชิคิเน็น เส็นกู (Shikinen Sengu) ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การเตรียมวัสดุก่อสร้างอันได้แก่ ไม้ซุงขนาดใหญ่ การก่อสร้างศาลเจ้าใหม่ และ รื้อถอนศาลเจ้าเดิม นอกจากนี้ เครื่องมือพิธีกรรมนับพันชิ้นจะถูกทำขึ้นใหม่ทั้งหมด ตลอดกระบวนการก่อสร้างศาลเจ้าอิเสะจะมีงานเทศกาลสำคัญมากมายร่วม 1,500 งาน ชาวบ้านในชุมชนจะได้มีส่วนร่วมในการชักลากไม้สู่พื้นที่ศาลเจ้าเพื่อให้ช่างทำการก่อสร้าง พิธีกรรมต่างๆถูกจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองความรุ่งเรืองของราชวงศ์ และความสงบสุขของชาวโลก เวลาขอพรก็จะขอให้สำหรับคนญี่ปุ่นทุกคนมากกว่าจะขอพรให้ตัวเองอย่างเดียว
ชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อเรื่องของรอบเวลา โดยเวลาในชีวิตจริงตั้งแต่เกิดจนตายจะเดินขนานไปกับเส้นเวลาเชิงสัญลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่า เห็นได้จากการเรียกสมัยตามชื่อสมเด็จพระจักรพรรดิ วงจรของศาลเจ้าอิเสะถูกรื้อถอนแล้วสร้างใหม่จึงเป็นการสะท้อนการเกิดและดับไปตามธรรมชาติ และเป็นการตั้งรอบเวลาใหม่ทุกๆ 20 ปี เรื่องที่ว่าทำไมต้องเป็น 20 ปีนั้น บางตำรากล่าวว่าเนื่องจากองค์หญิงเดินทางเป็นเวลา 20 ปี บางแห่งกล่าวว่าเนื่องจากอาคารทำจากไม้ดิบที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการป้องกันรักษา อีกทั้งโครงสร้างยังปักลงดินโดยตรงทำให้ผุพังง่าย จึงต้องมีการบูรณะบ่อยๆ หรือ การที่เว้นระยะ 20 ปีนั้น อาจจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม สำหรับถ่ายทอดความรู้ให้กับช่างไม้รุ่นต่อไปได้อย่างไม่ขาดตอน
การสร้างศาลเจ้าอิเสะใหม่ทั้งหมด 125 ศาลนั้นต้องใช้ไม้ซุงถึง 14,000 ท่อน โดยไม้ซุงทุกท่อนต้องมีอายุ 200 ปี ช่างฝีมือที่ถูกคัดเลือกล้วนเป็นช่างที่สืบทอดความรู้มาอย่างยาวนาน และวิธีการก่อสร้างอาคารต้องดำเนินตามเทคนิคโบราณอย่างเคร่งครัด วงจรการรื้อและสร้างเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการเรียนรู้ให้กับช่างรุ่นใหม่ ระหว่างการก่อสร้างศาลเจ้าอิเสะ ช่างรุ่นพี่จะชี้นำรุ่นน้อง โดยมีช่างรุ่นเก๋าที่ผ่านประเพณีมาหลายครั้งแล้วคอยกำกับกระบวนการทั้งหมดอีกทีหนึ่ง ช่างที่ผ่านพิธีชิคิเน็น เส็นกุ จะต้องกลับมาเข้าร่วมประเพณีในครั้งต่อๆไปด้วย
ศาลเจ้าใหม่จะถูกสร้างใหม่บนที่ดินข้างๆเรียกว่า โคะเด็นชิ (Kodenchi) ใจกลางโคะเด็นชิมีอาคารเล็กๆที่สร้างครอบเสาหลักเอาไว้ ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของศาลเจ้า เสาต้นนี้ไม่อนุญาตให้ใครเห็นนอกจากช่างก่อสร้างเท่านั้น เมื่อสร้างศาลเจ้าใหม่เสร็จแล้ว จึงทำการรื้อศาลเจ้าเก่าออก นับเป็นการเริ่มต้นวงจรใหม่ของศาลเจ้าอิเสะอีกครั้ง เป็นการสร้างสลับไปมาบนที่ดิน 2 แปลงที่อยู่ติดกัน การรื้อถอนย้ายศาลเจ้าครั้งล่าสุดทำไปเมื่อปี 2013 ดังนั้นถ้าใครอยากไปเป็นส่วนหนึ่งของพิธี ชิคิเน็น เส็นกู นั้นคงต้องรอถึงปี 2033 เลยทีเดียว
ศาลเจ้าที่ ‘ไม่เห็นมีอะไร’ และ ‘ไม่ถือว่าเป็นสถาปัตยกรรม’ ในสายตาชาวตะวันตก
การปฏิวัติเมจิในปี ค.ศ. 1868 นำความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่มาสู่ประเทศญี่ปุ่นในหลายๆด้าน หนึ่งในนั้นคือการเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวตะวันตกจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้ามา นักท่องเที่ยวชาวตะวันตกส่วนใหญ่ซึ่งกำลังอินกับสถาปัตยกรรมแนววิคตอเรียนในขณะนั้น ที่มีการตกแต่งอย่างหรูหรา ก็ต้องรู้สึกผิดหวังเมื่อได้ไปเยือนศาลเจ้ากลางป่าสนที่มีลักษณะเรียบง่าย ชาวตะวันตกในขณะนั้นขาดความเข้าใจว่าทำไมศาลเจ้าอิเสะถึงมีความสำคัญต่อชาวญี่ปุ่นมากนัก ทั้งๆที่รูปลักษณ์ภายนอกก็ไม่ได้ตระการตาเหมือนวังหรือโบสถ์ที่บ้านเกิด นอกจากนี้นักเขียนชาวตะวันตกหลายคนยังตัดสินชนชาติอื่นโดยใช้วัฒนธรรมตนเองมาเป็นบรรทัดฐาน นักเขียนเรื่องท่องเที่ยวชาวอังกฤษ บาซิล ฮอลล์ แชมเบอร์เลน (Basil Hall Chamberlain) เขียนเกี่ยวกับศาลเจ้าอิเสะในหนังสือนำเที่ยว ปี 1902 ว่า “ไม่มีอะไรให้ดู และพวกเขาก็ไม่เปิดให้เราเข้าไปดูเสียด้วย”
สถาปนิกตะวันตกในช่วงคริสศตวรรษที่ 19 ก็ไม่ค่อยประทับใจในศาลเจ้าอิเสะเช่นกัน เนื่องจากในความคิดชาวตะวันตก งานสถาปัตยกรรมต้องมีความเป็นอนุสรณ์สถานและคงทนถาวร ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม เจมส์ เฟอร์กูสัน (James Fergusson) ประกาศไว้ในปี 1876 ว่าศาลเจ้าอิเสะไม่ถือว่าเป็นอาคารด้วยซ้ำ ส่วนสถาปนิกชาวอังกฤษ โจซิอา คอนดอร์ (Josiah Condor) ที่รัฐบาลเมจิของญี่ปุ่นได้ว่าจ้างให้มาเป็นศาสตราจารย์สาขาสถาปัตยกรรม มองภาพรวมของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมว่า ‘เปราะบาง’ เนื่องจากอัคคีภัยที่เกิดขึ้นบ่อย และโครงสร้างที่ไม่คงทนเท่าวัสดุจำพวกหิน ทำให้นักศึกษาญี่ปุ่นที่เรียนจบจากหลักสูตรในยุคนี้มีมุมมองต่อสถาปัตยกรรมบ้านเกิดตนเองเปลี่ยนไป ธีสิสหลายหัวข้อกล่าวถึงความพยายามที่จะปฏิรูปสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น รวมถึงการเปลี่ยนศาลเจ้าชินโตให้เป็นอิฐและหินทั้งหมด
จนกระทั่งในช่วงปีคริสศตวรรษที่ 20 ตะวันตกเข้าสู่ ยุคศิลปะโมเดิร์น นักออกแบบชาวเยอรมันจากเบาเฮาส์ บรูโน ทอท (Bruno Taut) ได้มาท่องเที่ยวญี่ปุ่นช่วงปี 1933 และยกย่องให้ศาลเจ้าอิเสะเป็นหนึ่งในความสำเร็จทางสถาปัตยกรรมเทียบเท่ากับวิหารพาร์เธนอน งานเขียนของบรูโนได้รับการเผยแพร่ในวงกว้าง และมุมมองสุนทรียะแบบสากลของบรูโนได้รับการตอบรับที่ดีมากจากชาวญี่ปุ่นเช่นกัน นอกจากนี้ยังเกิดงานเผยแพร่อีกหลายชิ้นในภาษาอังกฤษ เช่น งานเขียนของ ลาฟคาดิโอ เฮิร์น ( Lafcadio Hearn) และ โอคาคุระ คาคุโซ (Okakura Kakuzo) ที่ค่อยๆเปลี่ยนมุมมองชาวตะวันตกให้เปิดรับความสวยงามในแก่นแท้ของวัสดุ รวมถึงวัฒนธรรมเกี่ยวกับความยั่งยืนของความไม่เที่ยง (Permanence of Impermanence) ภายใต้วงจรการบูรณะศาลเจ้าอิเสะด้วย
ศาลเจ้าอิเสะ สู่การอนุรักษ์ด้วยความแท้
จะขอเล่าถึงหลักการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมสากลเสียก่อน กฏบัตรเวนิช ค.ศ. 1964 (Venice Charter) เป็นเอกสารในยุคแรกๆที่กำหนดขอบเขตการอนุรักษ์โบราณสถาน (Historic Monument) และรัฐบาลทุกประเทศที่ลงชื่อจะต้องปฏิบัติตามข้อตกลง ประเทศไทยเองก็ได้ลงนามเป็นภาคีใน ค.ศ. 1985 โดยกฎบัตรเวนิชมีใจความสำคัญว่า (1) การอนุรักษ์ต้องมีเป้าหมายชัดเจนเพื่อสงวนรักษา (2) การบูรณะซ่อมแซมใดๆจำต้องหยุดลงเมื่อเกิดการคาดเดา และ (3) การเสริมเติมแต่งจากส่วนที่เป็นของเดิมจะต้องกลมกลืนไปในภาพรวม แต่ต้องสามารถแยกออกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นของใหม่
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า การรื้อศาลเจ้าแล้วสร้างใหม่ทั้งหลังแบบนี้ ถือว่าแหกกฏบัตรเวนิชเต็มๆเลย! แต่ด้วยความพิเศษของศาลเจ้าอิเสะทำให้ในปี ค.ศ. 1994 ญี่ปุ่นได้ยกประเด็นเรื่องการอนุรักษ์คุณค่าทางนามธรรมสู่ที่ประชุม จนเป็นที่มาของ เอกสารนาราว่าด้วยความแท้ ค.ศ. 1994 (1994 Nara Document on Authenticity) ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับความหลากหลายของวัฒนธรรมและมรดกโลก ซึ่งความหลากหลายนี้เองต้องได้รับความเคารพ จะนำบรรทัดฐานของวัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่ง มาตัดสินคุณค่าของแหล่งมรดกในบริบทของทั้งโลกไม่ได้ นอกจากนี้ความแท้ยังครอบคลุมไปถึงรูปลักษณ์การออกแบบ วัสดุ การใช้สอย ประเพณี เทคนิค จิตวิญญาณและความรู้สึก และปัจจัยอื่นๆด้วย
จิตวิญญาณศาลเจ้าอิเสะยืดหยัดผ่านกาลเวลามานับพันปี มุมมองของคนที่มีต่อศาลเจ้าอิเสะนั้นก็แตกต่างกันออกไปตามยุคสมัย ในสายตาสถาปนิกชาวตะวันตกยุคแรกๆนั้นไม่อาจจะเข้าถึงสุนทรียะของศาลเจ้าอิเสะได้ แต่ด้วยความหมายอันลึกซึ้งมากกว่าแค่ที่ตาเห็น ทำให้ศาลเจ้าอิเสะเป็นหนึ่งในงานสถาปัตยกรรมชิ้นเอกของโลก และเป็นสัญลักษณ์ของการถ่ายทอด ความรู้ ความหมาย จิตวิญญาณของสถานที่ เพื่อส่งต่อไปให้รุ่นลูกหลานไปอีกร้อยพันปี ไม่แน่ว่าประเทศแถวๆนี้อาจได้แรงบันดาลใจมาจากศาลเจ้าอิเสะก็ได้ เพราะเราก็เพิ่งรื้ออาคารเก่าทรงคุณค่า เพื่อสร้างเป็นแลนด์มาร์คกลางทำเลทอง โดยสัญญาว่าจะสร้างใหม่ให้เหมือนเดิมเป๊ะ! นี่นา
References
Ise Jingu. (n.d.). Retrieved from https://www.isejingu.or.jp/en/
Potter, B. (2021). Ise Jingu and the Pyramid of Enabling Technologies. (T. Prepared, Ed.) Retrieved from https://theprepared.org/features-feed/ise-jingu-and-the-pyramid-of-enabling-technologies
Reynolds, J. M. (2011). Ise Shrine and a Modernist Construction of Japanese Tradition. (CAA, Ed.) Retrieved from https://www.jstor.org/stable/3177211
Sand, J. (2015). Japan’s Moniment problem : Ise Shrine as Metaphor. (G. University, Ed.) Retrieved from https://www.researchgate.net/publication/272390071_Japan’s_Monument_Problem_Ise_Shrine_as_Metaphor
Soul of Japan. (n.d.). Retrieved from https://japan-forward.com/category/culture/soul-of-japan/
เสาวลักษณ์ พงษธา โปษยะนันทน์. (2022). หลักการและแนวทางการอนุรักษ์มรดกสถาปัตยกรรมไม้. (กรมศิลปากร, บ.ก.) กรุงเทพฯ.
ชัยยศ อิษฎ์วรพันธุ์. (2014). หิมะ พระจันทร์ ดอกไม้ สวนญี่ปุ่น. สำนักพิมพ์สารคดีภาพ.
รับข่าวสารเรื่องการออกแบบ สถาปัตยกรรม ไลฟ์สไตล์
ทางอีเมล ที่จะส่งตรงถึงคุณทุกเดือน ลงทะเบียนได้ที่ด้านล่างนี้เลย!