การวาดภาพประกอบ (illustration) เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถเล่าและถ่ายทอดแนวคิด เรื่องราว หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้ผู้อื่นได้รับรู้ในรูปแบบของกราฟิกหรือภาพวาดที่สามารถรับรู้และเข้าใจเนื้อหาของสิ่งนั้น ๆ ได้ ซึ่งในบางสถานการณ์การเล่าเรื่องด้วยภาพอาจสื่อความหมายและแสดงพลังได้ลึกซึ้งกว่าตัวอักษร ไม่เว้นแม้แต่การถ่ายทอดแนวคิดทางศิลปะเป็นลักษณะกราฟิกของงานสถาปัตยกรรม
อย่างเช่นนักวาดภาพประกอบชื่อดังชาวอิตาลี Federico Babina ที่ได้สร้างสรรค์ผลงานซีรีส์ ‘Archist Classic’ จากการที่เขาได้ศึกษาอัตลักษณ์และแนวทางศิลปะของศิลปินระดับ iconic ในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ยุคเรเนอซองซ์จนถึงยุคปัจจุบัน และได้ถ่ายทอดแนวคิดลงในกราฟฟิกภาพประกอบที่แสดงลักษณะทางสถาปัตยกรรมในรูปแบบของที่อยู่อาศัยแบบนามธรรม (Abstract)
โดยที่ Babina ไม่ได้เพียงแค่จินตนาการว่า บ้านของศิลปินชื่อดังแต่ละคนจะมีหน้าตาเช่นไร แต่ยังป็นการถ่ายทอดคุณลักษณะ เทคนิค และแนวคิดทางศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ของศิลปินแต่ละคนลงในซีรีส์ภาพประกอบชุดนี้ได้อย่าสร้างสรรค์ ด้วยวิธีนี้ทำให้ภาพประกอบแต่ละชิ้นจึงเปรียบเสมือนกับตราสัญลักษณ์ของศิลปินชื่อดังทั้งหลาย (หรืออาจเรียกได้ว่าเป็น Key Visual ประจำตัวศิลปินนั้น ๆ ก็ได้) ที่นำเอามโนทัศน์ทางศิลปะอันน่าทึ่งมาเล่าเรื่องผ่านทางองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น ลักษณะ shape และ form ของอาคาร การออกแบบฟาซาด วัสดุ การออกแบบแสงสว่าง สีสัน หรือลักษณะของช่องเปิด ประตู หน้าต่างของอาคาร
Federico Babina ผู้เป็นทั้งสถาปนิกและนักออกแบบกราฟิก เกิดเมื่อปี 1969 ปัจจุบันอาศัยและทำงานในบาร์เซโลนา เขาชื่นชอบงานศิลปะที่มุ่งเน้นการจำลองแบบนามธรรมของภาพ และอาคารสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงมาถ่ายทอดผ่านรูปแบบกราฟฟิกเรขาคณิต งานของเขาแสดงถึงความไร้เดียงสาและความเป็นธรรมชาติ รวมถึงความพยายามที่จะตั้งคำถามถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับการใช้สถาปัตยกรรมเป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์ภาพประกอบ มากกว่าการใช้ภาพวาดหรือแบบร่างในการสร้างสรรค์ผลงานสถาปัตยกรรม
สิ่งดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงในอุดมคติระหว่างรูปแบบทางศิลปะและลักษณะทางสถาปัตยกรรม โดยซีรีส์ภาพประกอบ Archist Classic นั้นมีหลายภาพที่แตกต่างกันไปตามศิลปินแต่ละบุคคล ในวันนี้จะเป็นการเล่าเรื่องแนวคิดของศิลปินชื่อดังผ่านภาพประกอบกราฟฟิกทางสถาปัตยกรรมไล่เรียงตาม timeline แบ่งเป็น 3 ยุคสมัย ตั้งแต่ยุคเรเนอซองซ์ ยุคโมเดิน จนถึงยุคสมัยปัจจุบันมาให้ฟังกัน
Botticelli (1444 – 1510)
ซานโดร บอตติเชลลี (Sandro Botticelli) เป็นหนึ่งในจิตรกรชาวอิตาลีแห่งสกุลช่างเขียนแห่งฟลอเรนซ์ผู้ยิ่งใหญ่ในยุคเรอเนสซองส์ตอนต้น ผลงานของเขามีความโดดเด่นในเรื่องของความประณีต การลงสีและเส้นสายที่มีความอ่อนหวาน สวยงามและสมบูรณ์แบบจนได้รับการยกย่องว่าเป็นจิตวิญญาณแห่งยุคเรอเนสซองส์ ภาพเขียนของเขาส่วนมากจะเกี่ยวเนื่องกับความเชื่อทางศาสนา เทพปกณัมกรีกและโรมันโบราณ โดยมีการใช้สัญลักษณ์ต่างๆสื่อความหมายซ่อนอยู่ในภาพ รวมถึงเทคนิคการวาดภาพ portrait ที่มีความนุ่มนวลเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เขายังเป็นส่วนร่วมสำคัญในการเขียนภาพปูนเปียกในโบสถ์น้อยซิสทีนอันโด่งดัง โดยผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือภาพ The Birth of Venus และ Primavera
ปัจจุบัน บอตติเชลลี ได้รับการยกย่องว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความงามทางศิลปะที่งดงามที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์อิตาลี และยังได้ถูกใช้เป็นกรณีศึกษาในโรงเรียนสอนศิลปะทั่วโลก ผลงานของเขามีอิทธิพลต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การออกแบบแฟชั่น รวมถึงศิลปินชื่อดังทั่วโลก อย่างเช่น Dante Gabriel Rossetti, Rene Magritte หรือ Jeff Koons
Babina ได้นำองค์ประกอบการเขียนภาพของบอตติเชลลีมาถ่ายทอดเป็นภาพประกอบแสดงกราฟฟิกทางสถาปัตยกรรม โดยมีลักษณะเป็นอาคารสถาปัตยกรรมทรงกลมสีขาวอยู่เบื้องหน้าที่มีโครงสร้างทางวิศวกรรมรับน้ำหนักบางส่วนให้เหมือนลอยอยู่ โดยอาคารดังกล่าวแลดูคล้ายกับเปลือกหอยหรือรังไข่ ซึ่งอาจแทนค่าถึงเทพีอโฟรไดท์ (Venus) โดยในสมัยกรีกโบราณเปลือกหอยเป็นสัญลักษณ์ของอวัยวะเพศของสตรี ในอาคารรูปไข่ยังใช้กราฟฟิกให้ดูเหมือนลึกลงไปคล้ายกัยภาพวาด The Abyss of hell ส่วนอาคารเบื้องหลังเป็นอาคารสูงทึบตันที่มีการออกแบบฟาซาดที่มีลายการฟฟิกเป็นลายพื้นน้ำสีโทนเขียวดังที่ปรากฏเป็น background อยู่ในภาพวาด The Birth of Venus
Caravaggio (1571 – 1610)
มิเกลันเจโล เมรีซี ดา คาราวัจโจ (Caravaggio) เป็นจิตรกรระดับปรมาจารย์สมัยบาโรกคนสำคัญของประเทศอิตาลีในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ผู้มีผลงานส่วนใหญ่ในอิตาลีทางตอนใต้ อย่างเช่น โรม เนเปิลส์ และซิซิลี เขาใช้วิธีการเขียนภาพที่มีลักษณะเฉพาะและเปรียบเสมือนลายซ็นของเขาคือ ฉากการวาดภาพกลางคืนที่มีแสงสลัวจากแสงเทียน และการใช้จุดกำเนิดแสงที่มีความเป็นนาฏกรรม โดยมีฉากหลังเป็นกิจวัตรของคนทั่วไปในสมัยนั้นหรือเรื่องราวในพระคำภีร์ ภาพเขียนของเขามักจะมีความขัดแย้งอย่างสิ้นเชิงระหว่าความสว่างกับความืด และให้ความรู้สึกดรามาติกสื่ออารมณ์ของภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ หรือที่เรียกว่า เทคนิคที่เรียกว่าไครอสคูโร (Chiaroscuro) โดยมีภาพเขียชิ้นสำคัญคือ The Calling of Saint Matthew หรือ The Crucifixion of Saint Andrew
เทคนิคการขียนภาพของคาราวัจโจ ยังได้ถูกใช้เป็นเป็นแรงบัลดาลใจของแบรนด์ Christian Dior คอลเลกชั่น Spring/Summer 2021 ที่ผสมผสานฉากหลังจากศิลปะยุคเรอเนซองซ์และบาโรกที่มีความเป็นเฟมินิน ผนวกกับการเสนอด้วยคอนทราสของแสงและเงา ทำให้ภาพสื่อถึงอารมณ์และเนื้อหาทางด้านแฟชั่นที่มีความสวยงามราวกับผลงานศิลปะชั้นสูง
Babina ได้นำองค์ประกอบการเขียนภาพของคาราวัจโจมาถ่ายทอดเป็นภาพประกอบแสดงกราฟฟิกทางสถาปัตยกรรม โดยเป็นลักษณะอาคารสองชั้น ชั้นล่างเป็นบันได และชั้นบนเป็นสเปซที่มีฝ้าเพดานสูงคล้ายโรงละคร มีการใช้ผ้าม่านสีแดงขนาดใหญ่ให้ความรู้สึกเหมือมีการแสดงนาฏรรม โดยมีแสงไฟสลัวคล้ายแสงเทียนที่ส่องสว่างผ่านออกจากทางช่องหน้าต่างขนาดใหญ่ สื่อถึงความรู้สึกดรามาติกที่เกิดขึ้น สภาพแวดล้อมโดยรอบอาคารมีความแตกต่างด้านความมืด-สว่างโทนสีน้ำตาลเข้มอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งคล้ายกับเทคนิคการวาดภาพอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของคาราวัจโจ
Piet Mondrain (1872 – 1944)
พีท มอนเดรียน (Piet Mondrian) ศิลปินนามธรรมชาวเนเธอแลนด์ที่สร้างสรรค์ผลงานอยู่ในช่วงทศวรรษที่ 1900 ผู้เปรียบเสมือนสัญลักษณ์แห่งกระแสศิลปะโมเดิร์นอาร์ต และเป็นศิลปินคนสำคัญผู้ก่อตั้ง De Stijl ที่พัฒนาผลงานเรขาคณิตอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยผลงานของเขาได้เปลี่ยนขนบทางศิลปะที่มีมาแต่ดั้งเดิม ด้วยการลดทอนรายละเอียด และเลือกใช้แม่สีอย่าง แดง เหลือง น้ำเงิน ร่วมกับพื้นหลังสีขาว รวมถึงมีการการแบ่งคอมโพสิชั่นของภาพด้วยเส้นตารางสีดำตัดกันมุมฉากอย่างเป็นระเบียบตามแนวคิดบาศกนิยม ทำให้ผลงานของเขาดูเรียบง่าย ชัดเจน แต่ทรงพลัง แนวคิดทางศิลปะของ มอนเดรียน ส่งอิทธิพลต่อวงการศิลปะ การออกแบบ และสถาปัตยกรรมทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้ โดยผลงานที่มีชื่อเสียงของเขา ได้แก่ Composition with Red Yellow Blue and Black และ Tableau I
แนวคิดทางศิลปะของมอนเดรียนได้ถูกนำมาบรรจบกับการออกแบบแฟชั่น โดยดีไซเนอร์ระดับตำนานชาวฝรั่งเศส Yves Saint Laurent ในฤดูใบไม้ร่วง-ฤดูหนาว ปี 1965 กับ Mondrian Collection โดยที่แซ็ง โลร็อง ออกแบบคอลเลกชั่นดังกล่าวเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อผลงานสุดคลาสสิคของมอนเดรียน ก่อนที่คอลเล็กชั่นดังกล่าวนั้นจะขึ้นหิ้งกลายเป็นคอลเล็กชั่นระดับตำนานในเวลาต่อมา ในขณะที่สื่อมวลชนต่างประเทศอย่าง New York Times ได้ยกย่องว่าคอลเลกชั่นนี้เปรียบเสมือนกับผลงานศิลปะที่เคลื่อนไหวบนร่างกายและเป็นคอลเล็กชั่นที่ดีที่สุดของเขา
Babina ได้นำแนวคิดทางศิลปะของมอนเดรียนมาถ่ายทอดเป็นภาพประกอบแสดงกราฟฟิกทางสถาปัตยกรรม โดยมีลักษณะเป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นโครงสร้างเปิดโล่ทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยมีเสาอาคารคล้ายกับลวดลายกราฟฟิกแม่สีอยู่ภายใน ส่วนชั้นบนเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมจุตรัสที่เหมือนตั้งอยู่บนโครงสร้างชั้นล่าง โดยจะเห็นเงาตกกระทบที่ช่วยขับเอาฟอร์มของชั้นบนออกมาอย่างชัดเจน โดยฟาซาดของอาคารเป็นลายกราฟฟิกโดยที่มีการจัดองค์ประกอบและใช้สีปฐมภูมิที่เปรียบเสมือนกับลายเซ็นของเขา อีกทั้งยังมีการใช้เส้นแนวตั้งคล้ายเสาสูงและเส้นแนวนอนที่คล้ายกับระเบียงยื่นออกมาจากอาคาร ทำให้ภาพเหมือนกับเป็นสถาปัตยกรรมแบบมินิมอลแต่มีรายละเอียดที่น่าสนใจซ่อนอยู่
แอนดี วอร์ฮอล (Andy Warhol) ศิลปินชาวอเมริกันคำสำคัญ ผู้เปรียบเสมือนกับเจ้าพ่อแห่งกระแสศิลปะป๊อปอาร์ต ผลงานของเขาจะเกี่ยวเนื่องกับศิลปะเชิงพาณิชย์ โดยมีวิธีการนำเสนอผลงานด้วยความแตกต่าง ไร้กฎเกณฑ์ แฝงด้วยนัยยะเสียดสีวัฒนธรรมบริโภคนิยม การเมือง แฟชั่น และสังคมนิยมได้อย่างอย่างแสบสันต์ เขาได้นำเสนอผลงานในรูปแบบของสื่อทางศิลปะหลากหลายประเภท อย่างเช่น ภาพวาด ภาพพิมพ์ งานประติมากรรม สื่อโฆษณา แฟชั่น ภาพยนตร์สั้น วอร์ฮอลมีการใช้เทคนิคทางศิลปะที่น่าสนใจมากมายที่ปรียบเสมือนเป็นลายเซ็นของเขา อย่างเช่น เทคนิคซิลก์สกรีน การใช้สีสันฉูดฉาด การทำซ้ำ การกลับค่าของสี ซึ่งผลงานศิลปะของเขาเปี่ยมด้วยความขบถและยังส่งอิทธิพลอย่างมากต่อวงการศิลปะและสื่อโฆษณาทั่วโลกตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1960 จนถึงปัจจุบัน โดยผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขา ได้แก่ Campbell’s Soup Cans และ Marilyn Diptych
ถึงแม้ว่า วอร์ฮอลจะได้เสียชีวิตไปกว่าหลายทศวรรษแล้ว แต่แนวคิดและผลงานของเขายังได้รับความนิยมอยู่เสมอมา ไม่เพียงเฉพาะวงการศิลปะเท่านั้น ล่าสุดแบรนด์สะสมสุดไฮป์อย่าง BE@RBRICK เองก็ได้นำเอาผลงานของวอร์ฮอลมาออกเป็นคอลเลกชั่นที่ผสมผสานระหว่างของเล่นและศิลปะ Pop Art ได้อย่างน่าสนใจ โดยคอลเลกชั่นดังกล่าวได้ถูกเปรียบเปรยว่า เป็นผลงานศิลปะมากกว่าของเล่น และเป็นที่ต้องการของนักสะสมทั่วโลก
Babina ได้นำแนวทางศิลปะของวอ์ฮอลมาถ่ายทอดเป็นภาพประกอบแสดงกราฟฟิกทางสถาปัตยกรรม โดยมีลักษณะคล้ายอาคารทรงแนวนอนที่มีกลิ่นอายสถาปัตยกรรมแบบยุคโมเดิน โดยมีช่องหน้าต่างสี่เหลี่ยมที่มีสีสันฉูดฉาดหลากสี และมีการซ้ำด้วยกราฟฟิกใบหน้าของ มาลิรีน มอนโร ส่วนดาดฟ้าของอาคารมีบันไดวนขึ้นไปชมประติมากรรมซุปมะเขือเทศแคมป์เบลล์อันเปรียบเสมือนลานเซ็นของเขา ความหลากสีที่เกิดขั้นทำให้คล้ายกับอาคารที่พักในรูปแบบของโมเต็ลช่วงวัฒนธรรมป๊อปในช่วงยุคทษวรรษที่ 1970
James Turrell (1943 – ปัจจุบัน)
เจมส์ เทอร์เรล (James Turrell) ศิลปินและนักออกแบบแสงสว่างชาวอเมริกาที่มีชื่อเสียงระดับโลก ผลงานของเขามุ่งเน้นในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่าง พื้นที่ ความรู้สึก ความไดนามิกของสี และแสงสว่าง จากจิตวิทยาการรับรู้ โดยมีเป้าหมายเพื่อแสดงให้เห็นว่าการมองเห็นตัด การลวงตา และการรับรู้ที่เป็นมิติสำคัญของแนวคิดเขา ผลงานของเขาจะเป็นการเปลี่ยนแสงให้เป็นงานศิลปะโดยจัดการเกิดจากประสบการณ์ของผู้ชม รวมถึงการออกแบบสภาพแวดล้อมที่ได้รับอิทธิพลจากปรากฏการณ์ของแสงธรรมชาติที่แฝงด้วยสุนทรียะในงานศิลปะเชิงพื้นที่ได้อย่างน่าทึ่ง โดยผลงานของเขาได้ถูกจัดแสดงในพิพิทธภัณฑ์ศิลปะทั่วโลก ซึ่งหนึ่งในผลงานที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ Aten Reign ที่จัดแสดงใน Guggenheim Museum นิวยอร์ก ที่ออกแบบโดยสถาปนิกบรมครู Frank Lloyd Wright
ในปัจจุบัน ผลงานของเทอร์เรลไม่เพียงส่งอิทธิพลต่อวงการศิลปะและการออกแบบเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อวงการดนตรี โดยมีศิลปินมากมายนำแนวทางศิลปะของเขามาเป็นส่วนหนึ่งของงานเพลงและชื่นชมต่อตัวเขาแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น kanye west รวมถึง Drake ศิลปินฮิพฮอพชื่อดังที่ใช้แนวทางศิลปะของ เทอร์เรล มาสร้างบรรยากาศใน MV เพลง Hotline Bling โดยใช้แสงและสีของไฟอันน่าตื่นใจที่เป็นเอกลักษณ์ของเทอร์เรล รวมถึงการใช้เทคนิคที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Minimal Art และ Land Art ซึ่งเป็นรูปแบบที่บ่งบอกถึงยุค 60 ออกมาเป็นองค์ประกอบและเรื่องราวใน MVได้อย่างน่าทึ่ง
Babina ได้นำแนวคิดทางศิลปะของเทอร์เรลมาถ่ายทอดเป็นภาพประกอบแสดงกราฟฟิกทางสถาปัตยกรรม โดยมีลักษณะเป็นอาคาร Abstract 3 ชั้น ที่มีการออกแบบแสงสว่างแบบ indirect lighting เฉพาะจุดไว้อย่างสวยงามหมดจด ชั้นล่างเป็นบันไดทางขึ้นที่มีลักษณะเหมือนกับผลงาน Apani ของเขา บริเวณชั้น 2 เป็นอาคารทึบไม่มีช่องเปิด แต่มีการเล่น lighting เพื่อขับฟอร์มของอาคารที่มีลูกเล่นให้มีความเด่นชัด ส่วนชั้นบนสุดเป็นพื้นที่จัดแสดงงาน ที่มีลักษณะคล้ายกับผลงาน Wedgework ซึ่งเป็นผลงานที่มีการรับรู้ด้านสีและแสงอันน่าตื่นตาตื่นใจและมีชื่อเสียงที่สุดชิ้นหนึ่งของเขา
Damien Hirst (1965 – ปัจจุบัน)
เดเมียน เฮิสต์ (Damien Hirst) ศิลปินร่วมสมัยชาวอังกฤษผู้มีชื่อเสียงทั้งทางดีและอื้อฉาวมากที่สุดคนหนึ่งในยุคนี้ เขาเป็นศิลปินที่ผนวกเอาวิธีการทางวิทยาศาสตร์และศิลปะเข้าด้วยกันและสร้างสรรค์ผลงานด้วยแนวคิดที่มีความบ้าสุดโต่งอย่างที่ไม่มีศิลปินผู้ใดเคยทำมาก่อน โดยผลงานของเขาจะเกี่ยวเนื่องกับความงาม ความตาย วัฏจักรของชีวิต และการเกิดใหม่ โดยมักจะใช้ซากศพของสัตว์ ไม่ว่าจะเป็น ฉลาม วัว ม้า แมลง เครื่องในสัตว์ โครงกระดูกสัตว์ ไปจนถึงชิ้นส่วนกะโหลกของมนุษย์ มาสร้างสรรค์เป็นผลงานศิลปะที่ล่อแหลม อย่างไรก็ตาม ผลงานของเขามีราคาแพงที่สุดเท่าที่เคยมีการซื้อขายจากศิลปินที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน โดยแนวทางศิลปะของเขาที่เป็น iconic โด่งดังไปทั่วโลกคือการนำซากสัตว์มาผ่าครึ่งแยกส่วนแช่น้ำยาฟอร์มาลดีไฮด์ลอยอยู่ในแทงก์กระจก อย่างเช่น The Physical Impossibility of Death in the Mind of Someone Living หรือ Mother and child
เฮิสต์ ยังได้ร่วมออกแบบห้องสวีท Hirst’s Empathy Suite ของโรงแรม 6 ดาว Palms Casino Resort ในลาสเวกัส โดยห้องดังกล่าวเป็นห้องรูมไทป์ที่ดีและแพงที่สุด มีราคาต่อคืนอยู่ที่ 100,000 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,500,000 บาท) โดยมีพื้นที่โดยรวมประมาณ 830 ตารางเมตร ประกอบด้วยห้องนอนใหญ่ 2 ห้อง และสระว่ายน้ำกลางแจ้งทรงโค้งที่มองเห็นทัศนียภาพที่สวยงามของลาสเวกัสสตริป รวมถึงเลานจ์และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย พร้อมด้วยงานศิลปะ iconic ของเฮิสต์ขนาดใหญ่ที่มีราคาแพง(มากๆ) จำนวนหกชิ้น ทั้งฉลามกระทิงสองตัวที่อยู่ในแทงก์ฟอร์มัลดีไฮด์ โครงกระดูกปลา และตู้โชว์ที่เต็มไปด้วยอัญมณีเซอร์โคเนีย
Babina ได้นำแนวคิดทางศิลปะของเฮิสต์ มาถ่ายทอดเป็นภาพประกอบแสดงกราฟฟิกทางสถาปัตยกรรม โดยมีลักษณะเป็นอาคาร 2 ชั้นที่กลิ่นอายความเป็นสถาปัตยกรรมแบบโมเดิน ชั้นล่างเป็นเหมือนแทงก์กระจกใส ที่มีซากฉลามผ่าครึ่งสามส่วนมาเรียงกันเหมือนผลงาน Myth explored, Explained, Exploded โดยฟาซาดอาคารสี่เหลี่ยมแนวนอนมีจุดหลากสี คล้ายคลึงกับซีรีส์ภาพเขียนแบบ Spot Painting ที่มีชื่อเสียงของเขา โดยอาคารทั้ง 2 ชั้นได้เชื่อมกันโดยโถงบันไดแนวตั้งโปร่งแสงสีฟ้าแทงทะลุไปถึงดาดฟ้าอาคาร โดยที่ color scheme ของสถาปัตยกรรมชิ้นนี้ บ่งบอกความเป็นตัวตนของเฮิสต์ได้อย่างดี
ซีรีส์ Archist Classic ของ Babina เป็นการสื่อสารถึงแนวคิดและตัวตนของศิลปินทั้งหลายยุคสมัยออกมาเป็นภาพประกอบที่แสดงลักษณะทางสถาปัตยกรรมได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่ง Babina ยังได้ทิ้งท้ายว่า ‘การวาดภาพและภาพประกอบเป็นอีกวิธีหนึ่งสำหรับฉันที่จะเล่าและถ่ายภาพความคิด ความรู้สึก และอารมณ์ภายในจิตใจออกมา และทุกๆภาพจะมีเรื่องราวซ่อนอยู่’
โดยที่ซีรีส์ดังกล่าวยังมีผลงานที่น่าสนใจอีกมากมาย ที่นำเอาศิลปินชื่อดังมาถ่ายทอดเป็นกราฟฟิกแสดงสถาปัตยกรรม ไม่ว่าจะเป็น Roy Lichtenstein, Jackson Pollock, Salvador Dali, Frank Stella, Basquiat ไปจนถึง Michelangelo และ Van Gogh โดยผู้ที่สนใจ อยากเรียนเชิญไปชมผลงานได้ที่ website official ของเขาได้เพิ่มเติมที่ https://federicobabina.com/ARCHIST
Picture & Reference
– https://www.designboom.com/art/federico-babina-archist-classic-illustration-09-16-2017/
– https://federicobabina.com/ARCHIST
– https://paradi.online/language/en/dior-ss-2021-inspired-by-caravaggio/
– https://vsemart.com/symbols-encrypted-in-venus-by-botticelli/
– https://www.dezeen.com/2019/03/04/empathy-suite-damien-hirst-las-vegas/
– https://museeyslparis.com/en/biography/lhommage-a-piet-mondrian
– https://www.wallpaper.com/art/james-turrell-museo-jumex-mexico-city
– http://digicult.it/art/james-turrell-the-substance-of-light/
– https://paradi.online/language/en/dior-ss-2021-inspired-by-caravaggio/
– https://www.metmuseum.org/art/collection/search/83442
– http://www.jeffkoons.com/artwork/gazing-ball-paintings/gazing-ball-botticelli-primavera
– https://musart.com/en/
– https://www.warhol.org/andy-warhols-life/
รับข่าวสารเรื่องการออกแบบ สถาปัตยกรรม ไลฟ์สไตล์
ทางอีเมล ที่จะส่งตรงถึงคุณทุกเดือน ลงทะเบียนได้ที่ด้านล่างนี้เลย!