จากโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซเก่าแก่รีโนเวทสู่ออฟฟิศบริษัทพลังงานยุคใหม่ การพลิกโฉมครั้งนี้เป็นการอนุรักษ์อาคารดั้งเดิมที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ผสมผสานกับการสร้างสถาปัตยกรรมใหม่แทรกเสริมเข้าไปได้อย่างกลมกลืน นอกจากนั้นการออกแบบและก่อสร้างโครงสร้างใหม่ยังคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมตลอดจนใส่ใจวิถียั่งยืนในหลากหลายมิติอย่างเป็นจริงเป็นจังจนทำให้โครงการนี้ได้รับการรับรองมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมจากหลายองค์กร รวมถึงกลายเป็นกรณีศึกษาตัวอย่างอันสำคัญขององค์การ World Green Building Council ที่ถูกนำเสนอในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศสมัยที่ 26 (COP26) ที่เมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ เลยทีเดียว
โปรเจกต์ที่ว่านี้ก็คือ Ombú อาคารที่ตั้งอยู่ในเขตอุตสาหกรรมเก่าของกรุงมาดริด ประเทศสเปน เดิมทีอาคารหลังนี้ก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1950 โดยสถาปนิกที่มีชื่อเสียงในยุคอดีตอย่าง Luis de Landecho เพื่อให้เป็นโรงงานไฟฟ้าพลังก๊าซที่ผลิตพลังงานป้อนพื้นที่แถบนี้ แล้วก็ยังเคยถูกเปลี่ยนไปเป็นโรงงานผลิตอาวุธสงครามและโกดังถ่านหินมาแล้วด้วย ก่อนที่ภายหลังจะถูกทิ้งร้างให้เสื่อมโทรมไปตามกาลเวลา จนกระทั่งในปี ค.ศ.2017 บริษัทพลังงานใหญ่ของสเปนอย่าง ACCIONA ได้ตัดสินใจเข้ามาซื้ออาคารหลังนี้ไว้เพื่อต้องการอนุรักษ์ประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าไว้ไมให้ถูกทำลายไปเหมือนหลายอาคารที่ผ่านมา และเพื่อให้การอนุรักษ์เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด ทาง ACCIONA จึงตัดสินใจบูรณะอาคารหลังนี้ให้กลับมามีชีวิตใหม่เพื่อสามารถเข้าไปใช้ประโยชน์ได้อีกครั้ง
Ombú โฉมใหม่ถูกรีโนเวทโดยหนึ่งในบริษัทสถาปนิกชั้นนำที่มีชื่อเสียงลำดับต้นๆ ของโลกอย่าง Foster + Partners โดยมีโจทย์หลักในการคงโครงสร้างอาคารดั้งเดิมไว้และต้องรีโนเวทโปรเจกต์ให้สอดรับกับแนวความคิดสถาปัตยกรรมแบบยั่งยืน (Sustainable Architecture) รวมถึงคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังด้วย ข้อจำกัดสุดหินครั้งนี้ทำให้ทาง Foster + Partners ต้องทำงานอย่างหนัก ออกแบบโครงการโดยใส่ใจรายละเอียดทุกมิติ แล้วก็ต้องคิดถึงอนาคตระยะยาวด้วย ด้วยเหตุนี้การออกแบบโปรเจกต์จึงเริ่มต้นบนพื้นฐานที่อยู่ในหลักการ Biophilic Design คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมตลอดจนวิถีการใช้งานที่เป็นมิตรกับมนุษย์ไปพร้อมกัน รวมถึงหลักการในการอนุรักษ์อาคารโบราณที่ต้องใส่ใจในรายละเอียดการคงสภาพตลอดจนทำให้อาคารดั้งเดิมกลับมาใช้งานได้อย่างปลอดภัย
เอกลักษณ์ของอาคารแบบดั้งเดิมที่ก่อสร้างจากอิฐกว่า 10,000 ตันนั้น คือเสน่ห์วันวานที่ถูกปัดฝุ่นใหม่ให้กลับมางดงามอีกครั้ง ฟาซาดแสนคลาสสิกที่เป็นผนังอิฐผสานกรอบหน้าต่างและโครงประตูเหล็กก็ยังคงถูกรักษาเอาไว้เป็นอย่างดีเช่นเคย ในส่วนของภายในอาคารตั้งแต่ลักษะโถงสูงโปร่งที่มีขนาดใหญ่ไปจนถึงโครงสร้างดั้งเดิม รวมถึงโครงสร้างหลังคาเก่าที่เปิดฝ้าเพดานให้เห็นรายละเอียดโครงสร้างอย่างสวยงามนั้นก็ถูกอนุรักษ์ไว้ในรูปแบบและเสน่ห์ดั้งเดิมเช่นกัน นอกจากนี้ก็ยังรวมถึงรายละเอียดอื่นๆ ของโครงสร้างเก่า ตั้งแต่โครงบันไดไปจนถึงรายละเอียดของหน้าต่างและประตูก็ยังคงถูกรักษาเอาไว้เป็นอย่างดีเพื่อเล่าประวัติศาสตร์ของสถานที่และกลายเป็นของประดับตกแต่งอาคารที่มีเสน่ห์ไปพร้อมกัน
วัตถุประสงค์ของการรีโนเวทครั้งนี้ คือการปรับเปลี่ยนอาคารเก่าให้กลายเป็นออฟฟิศใหม่ แต่ด้วยความที่ลักษณะอาคารเดิมเป็นอาคารชั้นเดียวแบบโถงสูงนั้นทำให้ภายในมีพื้นที่ใช้สอยจำกัดและไม่เพียงพอต่อการรองรับพนักงาน ทาง Foster + Partners จึงแก้ปัญหาตรงจุดนี้อย่างชาญฉลาดด้วยการออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่เสริมเข้าไปซึ่งเป็นรูปแบบของโครงสร้างไม้ใต้ถุนสูง 2 ชั้นที่แต่ละชั้นมีระเบียงไม้กั้นอย่างสวยงามลงตัว สิ่งก่อสร้างใหม่ที่แทรกตัวลงภายในอาคารนี้ช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้สอยให้มากขึ้นเป็น 3 ชั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพทีเดียว แล้วการสร้างสถาปัตยกรรมไม้แทรกลงไปนี้ก็ไม่ได้สร้างแบบเต็มพื้นที่จนทำให้รู้สึกอึดอัด และการเล่นระดับตลอดจนเว้นขอบให้มีพื้นที่ว่างเพิ่มขึ้น ทำให้ทุกพื้นที่ยังสามารถสัมผัสถึงเสน่ห์ของโถงอาคารสูงโปร่งแบบดั้งเดิมได้เช่นเคย และทำให้ออฟฟิศนี้มีเอกลักษณ์การออกแบบที่ไม่เหมือนใคร
ความเจ๋งของการออกแบบยังไม่หมดเท่านั้น Foster + Partners สร้างความเหนือชั้นขึ้นไปอีกระดับด้วยการออกแบบโครงสร้างสถาปัตยกรรมไม้ให้สามารถถอดประกอบได้อีกด้วย ซึ่งวัสดุที่ใช้จะเป็นไม้น้ำหนักเบา ประกอบยึดติดกันด้วยการเลียนแบบภูมิปัญญาดั้งเดิมที่ไร้การตอกหมุด เพื่อทำให้สามารถรื้อโครงสร้างนี้ออกได้ง่าย ตลอดจนเคลื่อนย้ายไปสร้างยังที่อื่นได้อย่างสะดวกสบายและรวดเร็วด้วย แถมไม้ที่นำมาใช้สร้างยังมาจากผืนป่าในท้องถิ่นที่มีการทำอุตสาหกรรมไม้บนมาตรฐานความยั่งยืน ทั้งยังช่วยลดการขนส่งเพื่อช่วยลดการสร้างมลภาวะต่อโลก แล้วไม้ทุกชิ้นยังสามารถนำหลับมารีไซเคิลได้แบบ 100%
อีกหนึ่งรายละเอียดของการรีโนเวทอาคารที่น่าสนใจก็คือการเปิดช่องแสงของตัวอาคารเพื่อให้แสงจากธรรมชาติสามารถสาดส่องเข้ามาภายในได้หลากหลายด้าน ตั้งแต่การเปิดช่อง Skylight ตรงกลางหลังคาโดยปรับเปลี่ยนไปใช้วัสดุโปร่งใสปูหลังคาแทนเพื่อให้แสงธรรมชาติสาดส่องเข้าด้านบนได้ ตลอดจนหน้าต่างบานใหญ่ดั้งเดิมหลายบานที่รายลอบทุกด้านก็ทำให้แสงจากภายนอกสาดส่องเข้ามาในอาคารได้เพิ่มขึ้น ทำให้ช่วงกลางวันนั้นออฟฟิศสามารถลดการใช้แสงจากหลอดไฟไปได้มากซึ่งช่วยลดการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพทีเดียว
นอกจากนี้ทาง Foster + Partners ยังใส่ใจในการออกแบบภูมิทัศน์โดยรอบอาคาร เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้โครงการโดยเน้นปลูกต้นไม้ใหญ่ยืนต้นเพิ่มขึ้นทั่วบริเวณกว่า 350 ต้น แถมยังคัดสรรเฉพาะพืชพันธุ์ท้องถิ่นที่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมแถบนี้เป็นอย่างดี เพื่อลดปริมาณการใช้น้ำลดน้ำต้นไม้แบบเกินความจำเป็น รวมถึงสร้างแหล่งน้ำที่เป็นรางน้ำไว้ขนานกับตัวอาคารโดยแหล่งน้ำนี้เป็นทั้งที่พักผ่อนหย่อนใจ สร้างความสดชื่นให้กับต้นไม้และผู้คนไปในคราวเดียวกัน
เมื่อต้นไม้เติบโตก็จะสามารถสร้างร่มเงาได้ดี รวมถึงเป็นแนวป้องกันความร้อนเข้าสู่ตัวอาคารที่สามารถช่วยลดอุณหภูมิภายในได้อย่างยอดเยี่ยมทีเดียว แล้วการออกแบบสวนภายนอกนี้ก็เพื่อไว้รองรับการทำงานนอกอาคารได้ด้วย ซึ่งพนักงานสามารถที่จะเลือกเปลี่ยนบรรยากาศมานั่งทำงานท่ามกลางแมกไม้ หรือเลือกประชุมในแบบกึ่งทางการกันท่ามกลางธรรมชาติร่มรื่นก็ได้ด้วย
อาคาร Ombú โฉมใหม่นี้ออกแบบโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและมนุษย์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ได้รับการรับรองมาตรฐานสิ่งแวดล้อมระดับ 1.0 Planet Ecological Footprint ที่ช่วยซึมซับการปล่อยก๊าซคาร์บอนของโลกสู่ชั้นบรรยากาศได้ดีทีเดียว แล้วการก่อสร้างสถาปัตยกรรมโครงสร้างไม้หากคำนวณแล้วก็สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอกไซด์ (CO2) ได้มากกว่า 1,600 ตันอีกด้วย รวมถึงสามารถ Reuse นำกลับมาใช้ใหม่ Replace ย้ายไปก่อสร้างยังที่ใหม่ได้อย่างง่ายดาย และนำไป Recycle ได้โดยไม่กลายเป็นขยะเหลือทิ้งไว้บนโลก
การออกแบบอาคารลักษณะนี้ยังช่วยลดปริมาณคาร์บอนลงได้มากกว่า 25% เมื่อเทียบกับรูปแบบอาคารสร้างใหม่ในสเกลใกล้เคียงกัน และช่วยให้อาคารลดการใช้พลังงานลงได้กว่าปกติถึง 35% เลยทีเดียว นอกจากนี้อาคารหลังนี้ยังได้รับการรับรองมาตรฐาน Nearly zero-emission building (NZEB) สถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นโดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานของคณะกรรมาธิการยุโรป (European Commission) แห่งสหภาพยุโรป (European Union : EU) ตลอดจนได้รับการรับรองมาตรฐาน LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) ในระดับ Platinum ซึ่งเป็นระดับสูงสุด รวมถึงได้รับการรับรองมาตรฐาน WELL ในระดับ Gold และอีกหลายรางวัลที่ช่วยการันตีคุณภาพด้านสิ่งแวดล้อมและวิถียั่งยืนได้เป็นอย่างดี
Photo Credit
Foster + Partners : www.fosterandpartners.com
รับข่าวสารเรื่องการออกแบบ สถาปัตยกรรม ไลฟ์สไตล์
ทางอีเมล ที่จะส่งตรงถึงคุณทุกเดือน ลงทะเบียนได้ที่ด้านล่างนี้เลย!