เคยเป็นไหม เวลาไปเลือกซื้อหลอดไฟที่แล้ว เกิดอาการงงไปชั่วขณะ ยืนนิ่งอยู่หน้าแผนกขายหลอดไฟ ด้วยความที่มีหลอดให้เลือกเยอะมากไม่ว่าจะเป็นสีที่ต่างกัน ขนาดหลอด ประเภทหลอด ซึ่งถ้าเราไม่ถามพนักงาน ก็คงต้องใช้เวลาสักพักใหญ่ๆเลยละ กว่าจะได้หลอดไฟสักหลอดกลับไปใช้กัน วันนี้เราเลยมีทริคง่ายๆ 3 ข้อ ในการเลือกซื้อหลอดไฟด้วยตนเอง โดยใช้การอ่านฉลากข้างกล่อง ซึ่งทริคที่เรานำมาเสนอในครั้งนี้ สามารถใช้ได้กับทุกชนิดของหลอดไฟ ไม่ว่าจะเป็นหลอดไส้ หลอดฟลูออเรสเซนต์ หลอดฮาโลเจน ไปจนถึงหลอด LED เลยค่ะ
1. สีของไฟ
ก่อนที่เราจะเลือกหลอดไฟไปติดตั้งในห้องสักห้องนั้น อย่างแรกเลยเราต้องรู้ฟังก์ชั่นการใช้งานในห้องนั้นๆเสียก่อน เพราะสีไฟที่ต่างกัน ก็เหมาะกับการใช้งานที่ต่างกัน เช่น ห้องนอน ห้องรับแขก เหมาะกับไฟสีส้ม เพราะทำให้บรรยากาศดูนุ่มนวล ผ่อนคลาย ส่วนไฟสีขาวนั้นเหมาะกับห้องทำงาน ห้องครัว เพราะเป็นพื้นที่ที่ต้องการสมาธิในการใช้งาน ไฟสีขาวจะช่วยทำให้สีในห้องไม่ผิดเพี้ยนและสามารถเห็นรายละเอียดต่างๆได้ชัดเจนกว่าไฟสีส้ม ซึ่งโดยทั่วไปสีไฟที่นิยมใช้กันในบ้านก็มี สี warm white (แสงสีเหลืองๆ อมส้ม) และสี cool white (แสงสีฟ้าขาว)
พอได้สีแล้ว ก็ต้องมาดูโทนสีของแสงจาก Color Temperature Scale ซึ่งบนกล่องจะมีลูกศรชี้บอกโทนสี แต่ช่วงอุณหภูมิแสงที่นิยมใช้กันมากที่สุดก็อยู่ที่ช่วง 2700-3000K (K=Kelvin หน่วยอุณหภูมิของแสง) เป็นสี warm white ออกไปในโทนเหลือง ให้ความรู้สึกอบอุ่น ใช้สร้างบรรยากาศให้กับห้องนอน ห้องนั่งเล่น
ซึ่งอุณหภูมิของแสงก็สามารถวัดความสว่างได้เหมือนกัน แต่อาจบอกค่าความสว่างได้ไม่ละเอียดนัก ดูง่ายๆคือ ในห้องเดียวกัน แต่ที่อุณภูมิ 1000K จะรู้สึกสว่างน้อยกว่า 3000K
2.ขั้วหลอด
ขั้วหลอด คือ ส่วนที่เป็นโลหะสีเงินๆด้านล่างหลอด มีหลายแบบและหลายขนาด ขึ้นอยู่กับประเภทของหลอดไฟ แต่ที่ใช้กันทั่วไปก็คือแบบขั้วเกลียว E27 ซึ่งถือเป็นขนาดมาตรฐาน พบได้ทั่วไปในหลอดไส้ หลอดCompact Flurescence และหลอด LED หรือถ้าเป็นหลอดไฟที่มีราคาแพงขึ้นมาอีกหน่อย ขั้วหลอดก็จะมีหน้าตาที่ต่างออกไป เช่น หลอดฮาโลเจน(บางแบบ)ใช้ขั้วหลอดแบบเข็ม MR16 ซึ่งเป็นขั้วหลอดขนาดเล็ก ทำให้ตัวหลอดไฟมีขนาดเล็กตามไปด้วย โดยหลอดฮาโลเจนนี้ เหมาะที่จะใช้สำหรับส่องวัตถุในตู้โชว์ให้ดูโดดเด่นหรือต้องการเน้นวัตถุบางอย่าง แต่ไม่เหมาะกับการส่องที่คนเพราะร้อน เป็นต้น
3. วัตต์
วัตต์ (Watt หรือ W) คือ หน่วยวัดกำลังไฟฟ้าที่เป็นตัวบอกอัตราการกินไฟของหลอดไฟ เช่น หลอดไฟ 100 วัตต์ หมายความว่า หลอดกินไฟ 100 วัตต์ต่อชั่วโมง อธิบายง่ายๆคือ ยิ่งวัตต์มากก็ให้แสงที่สว่างมาก และผลที่ตามมาก็กินไฟมากเช่นกัน ดังนั้นจึงมีการคิดค้นหลอดประหยัดไฟขึ้นมา เช่น หลอด LED ถึงแม้จะมีราคาแพง แต่ถ้าเทียบกับค่าไฟในระยะยาวก็ถือว่าคุ้ม เพราะกินไฟน้อยหลอดไส้หลายเท่าตัว แต่ให้ความสว่างได้เท่ากับหลอดไฟที่มีกำลังวัตต์มาก แถมอายุการใช้งานยังยาวนานกว่าอีกด้วย ฉะนั้นเวลาเลือกหลอดไฟทั่วไปก็ดูที่วัตต์มากก็สว่างมาก ส่วนหลอด LED เค้าก็จะเขียนว่าวัตต์เท่านี้ เทียบเท่าความสว่างของหลอดไส้ทั่วไปกี่วัตต์
ขอบคุณรูปภาพจาก Pinterest และข้อมูลจากคุณ Dada จาก Gooodlux Design Consultancy
รู้จักวิธีการเลือกซื้อหลอดไฟกันไปแล้ว ต่อไปถ้าต้องไปเลือกซื้อหลอดไฟ ก็คงไม่เสียเวลานานในการเลือกหาหลอดแล้วล่ะ หากใครมี คำถามคาใจเกี่ยวกับเรื่องไฟหรือการออกแบบตกแต่งบ้าน สามารถส่งคำถามมาได้ที่ dsignsomething@gmail.com หรือทางเพจของเรา DsignSomething ก็ได้ค่ะ เรายินดีหาคำตอบมาให้