มันคืองานอะไร? ทำไมถึงได้รับความสนใจจากผู้คนทั่วโลก?
(ภาพจาก http://www.alamy.com/stock-photo-milan-italy-june-04-2015-crowd-at-the-gate-expo-2015-83555678.html)
คำตอบอาจเป็นเพราะนี่คืองานมหกรรมแสดงผลงาน-นิทรรศการนวัตกรรมระดับสากลที่ชนชาติทั่วโลกต่างเฝ้ารอคอย โดยจะมีการจัดตั้งหัวข้อคอนเซปที่สอดคล้องกับสถานการณ์ของโลกในขณะนั้น มีประเทศเข้าร่วมเป็นสมาชิกในปัจจุบันกว่า 164 ประเทศ ทำให้สเกลงานมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นรองแค่เพียงอันดับ 1 และ 2 คือการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และฟุตบอลโลก และจัดขึ้นในวาระครบทุกๆ 5 ปีจะมีงานใหญ่ขึ้นมาครั้งนึง ต่อเนื่องยาวนานมากว่า 150 ปีแล้ว
(ภาพจาก http://issuu.com/lynnlin8/docs/the_crystal_palace)
” World Expo” แต่เดิมใช้ชิ่อว่า World’s fair ก่อนจะมาเปลี่ยนมาใช้คำว่า Expo ( ที่ย่อมาจากคำว่า Exposition) งานมหกรรมโลกนี้จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1851 ที่สวนไฮด์พาร์ค กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ สถานที่จัดงานใช้ตึก The Crystal Palace เป็นส่วนแสดงงานหลัก อาคารผนังกระจกซึ่งสร้างขึ้นเพื่อจัดงานในครั้งนั้นเฉพาะ ก่อนหน้าที่ในภายหลังตึก The Crystal Palace จะถูกรื้อและย้ายมาตั้งอยู่ในย่าน Crystal Palace ประจำทีมฟุตบอลคริสตัลพาเลซนั่นเอง
(ภาพจาก http://global.britannica.com/topic/worlds-fair)
World Exposition เป็นงานเทศกาลที่แต่ละประเทศมาปล่อยของ นำเสนอนวัตกรรมเพื่ออนาคต ว่ามีอะไรน่าสนใจในประเทศของตัวเองบ้าง ย้อนไปในช่วงบุกเบิกที่จัดงานในปี 1851-1938 ยุคแห่งการปฎิวัฒิอุตสาหกรรม การจัดงาน world expo ครั้งแรกนั้นใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า Great Exhibition of the Works of Industry of all Nations หรือชื่อเล่นสั้นๆ ว่า The Great Exhibition เป็นการแสดงแสนยานุภาพการผลิตตามระบบอุตสาหกรรมของชาติต่างๆ ในช่วงที่ยุคอุตสาหกรรมกำลังก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด เน้นการนำเสนอผลงานทางด้านสถาปัตยกรรมของยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ด้วยการเลือกจัดแสดงผลงานจากนานาประเทศในอาคารขนาดใหญ่ที่สุดในตอนนั้นที่ใช้เหล็ก (cast iron) และกระจกสร้างขึ้นมาอย่างตึก crystal palace ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมการก่อสร้างอาคารที่สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่คนสมัยนั้นมากทีเดียว
งาน World Expo ในครั้งแรกถือได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก มีผู้เข้าร่วมแสดงสินค้าและผลงานกว่า 14,000 รายจากทั่วโลก ในระยะเวลาตลอด 5 เดือนมีผู้เข้าชมจากทั่วโลกเกือบ 6 ล้านคน ช่วยสร้างรายได้เข้าประเทศเจ้าภาพอย่างมหาศาล ทำให้หลายๆ ประเทศเริ่มเกิดความสนใจอยากจัดงานขึ้นบ้าง เพื่อสร้างรายได้และโปรโมทประเทศของตนเองได้ในกระสุนนัดเดียว
(ภาพจาก http://peace.maripo.com/p_fairs.htm)
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา งานมหกรรมระดับโลกนี้ยังทำหน้าที่เป็นพื้นที่นำเสนอคุณค่าทางวัฒนธรรมและแนะนำนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ให้ชาวโลกได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนแก่กันเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็นการคิดค้นของชิ้นเล็กๆ อย่างซิปกางเกง เครื่องคิดเลข เครื่องพิมพ์ดีด ของที่เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในสังคมมนุษย์อย่างเราๆ เช่น การคิดค้นโทรศัทพ์เครื่องแรกของโลก เครื่องมือสื่อสารชิ้นสำคัญที่เข้ามาเปลี่ยนสังคมการสื่อสารของมนุษย์ไปตลอดกาล ไปจนถึงการสร้างสถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่ “หอไอเฟล” (Eiffel Tower) สัญลักษณ์สำคัญของงาน world expo ครั้งสำคัญของประวัติศาสตร์โลก ที่ กรุงปารีส สิงปลูกสร้าง land mark ประจำงานครั้งนั้นได้ถูกการกล่าวขวัญโจษจันจนได้รับเลือกเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคปัจุบัน
หรือการเผยแพร่วัฒนธรรมทางอาหารแก่คนในประเทศอื่นๆให้ได้ลิ้มลองรสชาติกัน ทั้งบราวนี่ ป๊อปคอร์น ขนมแสนอร่อยที่รู้จักกันดีทั่วโลกในตอนนี้ และของธรรมดาที่สร้างความตื่นเต้นประหลาดใจได้ อย่างกล้วย ผลไม้สีเหลืองจากต่างประเทศที่เริ่มเผยแพร่เข้าไปในอเมริกาเป็นครั้งแรกจากการจัดงานเมื่อปี 1876 ที่เมืองฟิลาเดลเฟีย ประเทศอเมริกา ในยุคนั้นคนอเมริกันยังต้องใช้มีดกับซ้อมเป็นเครื่องมือรับประทานกล้วยกันอยู่เลย
(ภาพจาก http://www.expo2015.org/en/events)
เข้าสู่ช่วงปัจจุบัน การจัดงาน world expo อยู่ภายใต้การดูแลขององค์กรนานาชาติชื่อ Bureau of International Expositions (BIE) โดยมีข้อตกลงร่วมกันว่า จะจัดขึ้นทุก 5 ปี (ปี ค.ศ. ที่ลงท้ายด้วย 0 และ 5) โดยงานแต่ละครั้งมีระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน เป็น expo ขนาดใหญ่ เรียกว่า Universal expositions และระหว่าง 5 ปีนั้น อาจจะการจัดมี expo ขนาดเล็ก เรียกว่า Specialized expositions (อย่างพืชสวนโลกที่เชียงใหม่เรียกว่า Horticultural expositions เป็น expo ขนาดเล็ก) มาถึงการจัดงานครั้งล่าสุดในปีนี้กับงาน World Expo Milano 2015 นี่ไม่ใช่หนแรกที่งานมหกรรมระดับโลกเลือกมาปักหมุดลงในดินแดนรองเท้าบูท เพราะในอดีตประเทศอิตาลีได้รับเลือกให้เป็นเจ้าภาพจัดงานมาแล้ว 3 ครั้งด้วยกัน ถือว่าเป็นชาติที่มีประสบกาณ์ จัดเจนในเวทีการจัดงานอยู่ World Expo อยู่พอสมควร
(ภาพจาก http://www.archilovers.com/stories/7241/the-9-clusters-of-expo-milano-2015.html)
โดยธีมงานของปีนี้คือ feeding the planet,energy for life แปลเป็นภาษาไทยว่า “อาหารหล่อเลี้ยงโลก พลังงานหล่อเลี้ยงชีวิต” มีต้นแนวความคิดมาจากการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของจำนวนประชากรของโลก ส่งผลต่อการจัดสรรหาทรัพยากรให้เหมาะสมและพอเพียงแก่ทุกชีวิต ทำให้เกิดการตั้งคำถามและคาดคะเนว่าอนาคตของโลกต่อไปอาจต้องประสบปัญหาอาหารและพลังงานไม่เพียงพอต่อจำนวนประชากรโดยรวม นี่คือโจทย์ที่แต่ละประเทศนำไปตีความและนำเสนอออกมาแตกต่างกันไป ซึ่งครั้งนี้ได้รับความร่วมมือเข้าร่วมแสดงผลงานจากสมาชิกจำนวน 147 ประเทศ
ผังพื้นที่ภายในงาน จะประเภทของ Pavilion จะแบ่งเป็น
Cluster ในงาน
(ภาพจาก http://www.archilovers.com/stories/7241/the-9-clusters-of-expo-milano-2015.html)
– Cluster เป็นห้องจัดแสดงขนาดเล็ก exhibition room
ประเทศโมนาโค
(ภาพจาก http://www.expo2015.org/en/participants/countries/monaco)
– PavilionSize S เช่น pavilion Uruguay, Monaco etc
ประเทศมาเลเซีย
(ภาพจาก http://www.gazzetta.it/expo-2015/09-05-2015/gazzetta-expo-mostra-calcio-sport-energia-la-vita-110750935487.shtml)
– Pavilion size M อย่าง Malaysia,Lithuania
ประเทศรัสเซีย
(ภาพจาก http://hyperallergic.com/239676/the-nine-circles-of-hell-at-expo-milano-the-2015-worlds-fair/)
– Pavilion size L อย่างประเทศไทย , Japan,Russia,South Korea
(ภาพจาก http://www.expo2015.org/en/explore)
ลักษณะการวางผังของ expo ที่อิตาลีปีนี้ ลดความซับซ้อนในการเที่ยวชมด้วยการออกแบบ ถนนหลักเส้นกลาง เรียกว่า Decumano เชื่อมจากฝั่งตะวันออกไปยังตะวันตก เป็นถนนสายสำคัญเส้นเดี่ยวระยะทางยาว 1.5 กิโลเมตร เชื่อมต่อ pavilion ต่างๆที่ขนาบอยู่ทั้งด้านซ้ายและขวา บริเวณโดยรอบมีลำคลองสายน้อยใหญ่ พร้อมถนนเลนพิเศษสำหรับรถ shuttle bus คอยวิ่งขนส่งเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เข้าชมงานทุกคน
ประเทศไทยในงาน World Expo
(ภาพจาก http://wwd.applicadthai.com)
สำหรับประเทศไทยเราเข้าร่วมงาน World Expo ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2405 (ค.ศ. 1862) ในสมัยรัชกาลที่ 4 ตามแผนงานกุศโลบายการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เผยแพร่วัฒนธรรมไทย ความสวยงามของสถาปัตยกรรม และส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศไทยในเวทีโลก สยามประเทศของเราเข้าร่วมงานแสดงอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ในงาน World Expo ปี 2015 ครั้งนี้ประเทศไทยถือว่าจัดอยู่ใน Pavilion ขนาดใหญ่ size L ภายใต้การดูแลของกระทรวงการเกษตร จากตีมงานที่พูดถึงเรื่องเกษตรกรรม ประเทศไทยจึงของัดแม่ไม้ทีเด็ดสไตล์ไทยแท้ด้วยการสร้าง งอบยักษ์ สัญลักษณ์ตัวแทนของเกษตกรชาวไทยมาเป็นโครงหลักในรูปทรงทางสถาปัตยกรรม ผสมผสานกับฐานเจดีย์ และ พญานาค ตัวแทนความเชื่อและความศรัทธาเป็น concept design ในการออกแบบอาคาร นอกจากนี้ด้านหน้ายังยกผืนนาข้าวและ ตลาดน้ำมานำเสนอกันถึงที่ เพื่อเป็นการส่งเสริมสินค้าเกษตรไทยให้ชาวโลกได้รับรู้ถึงคุณภาพและรสชาติอันขึ้นชื่อ สร้างหลักประกันในการซื้อผลิตภัณฑ์ อาหารและสินค้าเกษตรไทย และความเชื่อมั่นว่าครัวไทยสามารถเป็นอีกหนึ่งครัวหลักของโลกได้
(ภาพจาก http://hyperallergic.com/239676/the-nine-circles-of-hell-at-expo-milano-the-2015-worlds-fair/)
งาน World Expo Milano ณ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี จะเปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม – 31 ตุลาคม 2558 เวลา 9.00 – 21.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ตั๋วเข้าชมราคา 32 ยูโร และในงาน expo ครั้งหน้า ประเทศไทยก็เสนอตัวเป็นเจ้าภาพงานเอ็กซ์โปปี 2020 โดยเสนอ “อยุธยา” เป็นเมืองจัดงาน
ขอบคุณข้อมูลจาก คุณ M. Chana