ตึกลับที่ตั้งอย่างไม่ลับย่านอาซากุสะ มากด้วยข้อมูล(ทางการท่องเที่ยว)และดีไซน์จากสถาปนิกชื่อก้องโลก
Asakusa Culture Tourist Information Center
Architects : Kengo Kuma & Associates
Location : Asakusa, Taito, Tokyo, Japan
Area : 234.13 sqm.
หากพูดถึงการไปเที่ยวโตเกียว สิ่งหนึ่งที่คุณพลาดไม่ได้เลยนั่นก็คือการไปไหว้พระที่วัดเซ็นโซจิ (浅草寺, Sensoji) ในย่านย่านอาซากุสะ(浅草, Asakusa) หรือที่คนไทยเรียกกันว่าวัดอาซากุสะ เพราะที่นี่ถือว่าเป็นแลนด์มาร์กเด็ดแห่งของหนึ่งของโตเกียวเลยแหละ โดยเฉพาะโคมแดงขนาดยักษ์ หน้าประตูที่จัดว่าเป็นมุมยอดฮิตที่ใครๆต่างก็ต้องมาสแนปรูปลงโซเซียลอวดเพื่อนว่ามาถึงโตเกียวแล้วนะ
แต่สำหรับ Dsign Something แล้ว จะมาเล่าถึงวัดอย่างเดียวก็ดูจะธรรมดาเกินไป เราเลยเลือกที่จะหยิบตึกในระแวกนี้มาเล่าแทน ซึ่งตึกที่ว่านี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดอาซากุสะเลย (อยู่ตรงข้ามกับวัดนี่เอง) เป็นสถานที่ที่คนส่วนใหญ่มองข้ามไป เพราะต่างก็พากันเทความสนใจไปให้โคมยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกกันหมด และชื่อของสถานที่นี้ก็คือ Asakusa Culture Tourist Information Center เป็นจุดบริการให้ข้อมูลข่าวสารแก่นักท่องเที่ยว แต่ละวันมีคนนับพันเดินผ่านหน้าตึก แต่ดูเหมือนว่าคนเดินเข้าไปด้านในตึกจะมีจำนวนน้อยมาก หลายคนอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตึกนี้คือตึกที่บริการให้ข้อมูลแก่นักท่องเที่ยว และมีอะไรเด็ดๆอยู่ข้างใน
รู้รายละเอียดคร่าวๆของตึกนี้กันไปแล้ว เรามาทำความรู้จักตึกนี้ให้ลึกซึ้งกว่าเดิมบ้างดีกว่า ตึกนี้ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อก้องอย่าง Kengo Kuma & Associates และสร้างเสร็จในปี 2012 ถึงจะสร้างเสร็จมา 4 ปีแล้ว แต่ความลงตัว แนวคิดในการออกแบบ ยังคงเด่นชัดและลงตัว ซึ่งจุดเด่นของตึกนี้อยู่ที่รูปฟอร์มที่ดูซับซ้อน แต่เข้าใจง่าย รวมถึงการออกแบบ façade (เปลือกอาคาร) ที่เป็นระแนงไม้แนวตั้ง วางเรียงตัวเว้นช่องว่างในแต่ละชั้นแบบไม่เท่ากัน และดีไซน์เส้นแบ่งชั้น ที่ดูละม้ายคล้ายบ้านหลังเล็กๆ ซ้อนกันนั้น เป็นเอกลักษณ์เด่นของอาคารนี้ไปแล้ว
โดยเลือกใช้สไตล์ modern-japanese ที่ผสมผสานระหว่างความเป็น traditional และความทันสมัยของญี่ปุ่นเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งถือเป็นสไตล์ซิกเนเจอร์ของทีมสถาปนิกนี้ มาใช้เป็นธีมหลักในการออกแบบ ซึ่งเราสามารถสังเกตุได้จากวัสดุที่เค้าเลือกใช้ตกแต่ง façade ภายนอกตึก สถาปนิกเลือกใช้ไม้ เพราะเป็นวัสดุที่นิยมใช้กันในงานสถาปัตยกรรมสไตล์ traditional ของญี่ปุ่น และนำมาผสมกับวัสดุสมัยใหม่อย่างกระจกและเหล็กอย่างลงตัว
ในแต่ละชั้นจะถูกออกแบบให้มีลักษณะเหมือนบ้านชั้นเดียวที่มีหลังคาจั่ว ซึ่ง slope ของหลังคาภายนอก ก็คือดีไซน์ที่ลาดเอียงของฝ้าเพดานภายใน เป็นแบบนี้เหมือนกันหมดทั้ง 8 ชั้น เมื่อดูภาพรวมจึงเหมือนบ้านหลังน้อยซ้อนกันอยู่ ซึ่งภายในตึกก็ได้แบ่งฟังก์ชั่นการใช้งานออกเป็น 4 ส่วนดังนี้ ชั้น 1-2 เป็นพื้นที่ให้ข้อมูล ชั้น 3-5 เป็นห้องประชุม ชั้น 6-7 เป็นพื้นที่จัดนิทรรศการ และชั้น 8 เป็นพื้นที่ผักผ่อน
มาเริ่มกันที่ชั้น 1 เป็นพื้นที่แบบ double space เปิดช่องโล่งเชื่อมต่อพื้นที่ขึ้นไปถึงชั้น 2 ชั้นนี้จะให้บริการด้านข้อมูลท่องเที่ยวต่างๆ มากถึง 4 ภาษา ได้แก่ ภาษาจีน ภาษาอังกฤษ ภาษาเกาหลีและภาษาญี่ปุ่น นอกจากนั้นยังให้บริการแลกเปลี่ยนเงินตราแก่นักท่องเที่ยวอีกด้วย
โมเดลเมืองขนาดจิ๋ว ปักหมุดสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในย่านอาซากุสะ
ชั้น 2 เป็นพื้นที่แบบ double space ที่ต่อมาจากชั้น 1 เมื่อเดินขึ้นบันได้มาจะพบกับเคาน์เตอร์ติดกับผนังกระจกใส ทำให้สามารถมองเห็นวัดอาซากุสะได้จากมุมสูงนี้ เดินถัดขึ้นมาอีกนิดก็จะเป็นมุม community board ให้นักท่องเที่ยวเขียนเล่าความประทับใจที่มีต่อย่านนี้ และมีอินเตอร์เน็ทให้ใช้บริการได้ฟรี
ชั้น 6 โรงภาพยนตร์ขนาดเล็ก ฉายเรื่องราว วัฒนธรรมและประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ในสมัยอดีตของญี่ปุ่น อย่างที่เห็นในรูปนี้คือเค้ากำลังร้องเพลงและเล่น Shamisen (三味線) หรือที่เรียกกันว่าเบสญี่ปุ่นนั่นเอง
ชั้น 7 เป็นพื้นที่จัดนิทรรศการเรื่องราวประเพณีและวัฒนธรรมแบบภาพนิ่ง
บันไดภายนอกตึก ทางเดินที่เชื่อมระหว่างชั้น 7 และ 8 เป็นอีกหนึ่งมุมที่มองเห็นวิววัดได้แบบ bird’s eye view โดยไม่มีกระจกใสมาขวางกั้น
ชั้น 8 ชั้นที่จัดว่าเป็นไฮไลต์เด็ดของตึกนี้ เพราะมีทั้งร้านกาแฟและพื้นที่นั่งพักผ่อนสุดชิลบนดาดฟ้า ที่คุณสามารถนั่งชิลล์จิบกาแฟร้อนๆ พร้อมชมวิวเมืองโตเกียวได้แบบพาโนรามา มองเห็นวัดอาซากุสะได้แบบ bird’s eye-view และโตเกียวสกายทรีแบบไม่มีตึกบัง
วิววัดเซ็นโซจิ จากชั้น 8 ของตึก เป็นมุมแปลกตาที่น้อยคนนักจะแชะภาพลงโซเชี่ยล
หากใครมีโอกาศได้ไปเที่ยวโตเกียวก็อย่าลืมแวะมาชมความชมความงามของตึกนี้กันบ้างนะคะ ที่นี่เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 9.00-20.00 น. ซึ่งพอได้ไปมาแล้ว เราคิดว่าถ้ามาชมวิวบนยอดตึกนี้ในเวลากลางคืน บรรยากาศคงสวยมากเลยล่ะ ถ้าใครได้ไปตอนกลางคืนอย่าลืมถ่ายรูปมาอวดกันบ้างนะ