เพราะเราอยากให้คนเมืองมีผักสดส่งตรงจากฟาร์มทานในทุกๆวัน ในราคาที่ไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง
Patom Organic Living
Location : ซอยสุขุมวิท 49 วัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
Owner : คุณฟี่ – อนัฆ นวราช
Architect : คุณนิค – นิษฐา ยุวบูรณ์ จาก NITAPROW ARCHITECTS
Product Designer : คุณจ๊าค – พิชญ พุทธิธรกุล
ในยุคที่ตึกรามบ้านช่องในเมืองต่างก็กลายเป็นป่าคอนกรีตไปซะหมด จึงทำให้บางคนเกิดอาการโหยหาพื้นที่สีเขียวใจกลางเมือง แต่แล้วความฝันของใครหลายๆคนก็เป็นจริง เมื่อใจกลางย่านทองหล่อมีคาเฟ่เปิดใหม่ชื่อ Patom คาเฟ่เรือนกระจก ที่เปรียบได้ดั่งป่ากลางกรุง ภายใต้แนวคิด Organic Living ที่เสิร์ฟความเป็นออร์แกนิคตั้งแต่เมนูอาหารไปจนถึงผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน
ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ
หากถามถึงจุดเริ่มต้นของร้านปฐมนั้น คงต้องย้อนกลับไปสัก 50 ปีก่อน โดยเริ่มต้นมาจากโรงแรม Sampran Riverside ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำท่าจีน อำเภอสามพราน จังหวัดนครปฐม โดยทางโรงแรมริเริ่มปรับพื้นที่ส่วนหนึ่งให้เป็นสวนออแกนิคสำหรับปลูกผัก ผลไม้ และสมุนไพร ในรูปแบบเกษตรอินทรีย์ ก่อนจะนำมาแปรรูปเป็นสบู่ แชมพู ให้กับแขกที่มาเข้าพัก ครั้นเมื่อทายาทรุ่นที่ 3 อย่าง คุณฟี่-อนัฆ นวราช ได้เข้ามารับช่วงต่อ ก็มองเห็นช่องทางที่จะขยับขยายธุรกิจของครอบครัวให้ไปสู่กลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นและคนเมืองมากขึ้น จึงสร้างแบรนด์ขึ้นมาใหม่ ให้มีรูปลักษณ์โมเดิร์นและทันสมัยมากขึ้น และขอแบ่งที่ดินส่วนหนึ่งของบ้านคุณยายในซอยสุขุมวิท 49 มาทำเป็นร้าน Patom คาเฟ่ออแกนิค ที่ไม่เพียงแต่จะขายอาหารเพื่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นช่องทางการตลาดส่งตรงของสดจากฟาร์มที่สามพรานสู่มือผู้บริโภคโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง
ปฐม = จุดเริ่มต้น
ด้วยความที่ผลิตภัณฑ์ออแกนิคของทางร้านมีที่มาจากจังหวัดนครปฐม ทางคุณฟี่ตึงตัดสินใจใช้ชื่อร้านว่า “Patom (ปฐม)” โดยถอดรูปฟอร์มโลโก้ร้านมาจากรูปพระปฐมเจดีย์ แลนด์มาร์คยอดฮิตคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดนครปฐม นอกจากนั้นคำว่า”ปฐม”ยังมีอีกความหมาย คือ “จุดเริ่มต้น” ซึ่งตรงกับจุดขายของทางร้าน ที่เน้นเรื่องการส่งตรงวัตถุดิบจากมือเกษตรกรสู่คนเมือง
…“วัตถุดิบทุกอย่างในร้านเราล้วนปลูกเอง ผลิตเอง และขายเอง หรือเรียกง่ายๆว่า เราลงมือทำเองทั้งหมดตั้งแต่ขั้นตอนแรกไปจนถึงขั้นสุดท้าย ซึ่งจุดนี้แหละที่ทำให้แบรนด์เราต่างจากแบรนด์อื่น” คุณฟี่กล่าว…
เรือนกระจกทรงลูกบาศก์
หากมองจากภายนอกจะเห็นตัวร้านเป็นทรงลูกบาศก์กระจกใส ที่มีโครงสร้างหลักเป็นเสาไม้เก่าประกบกับบานกระจกใส ซึ่งโครงไม้นี้ได้มาจากโครงพื้นแพจากสวนสามพราน โดยที่เสาด้านนอกเป็นไม้แดง ด้านในเป็นไม้เต็งไทย ถึงจะเป็นไม้คนละชนิดกัน แต่ทางคุณฟี่ก็พยายามเลือกสีของไม้ให้มีความใกล้เคียงกันมากที่สุด ส่วนในขั้นตอนการประกอบตัวอาคารเข้าไว้ด้วยกันนั้น ก็ต้องเจาะรูเพื่อใส่น็อตสำหรับยึดโครงสร้างทั้งหมดเข้าไว้ด้วยกัน และเพิ่มลูกเล่นเป็นกิมมิกเล็กน้อยๆ ด้วยการทำฝาปิดรูน็อตทองเหลืองเป็นรูปสามเหลี่ยม ที่ถอดฟอร์มมาจากพระปฐมเจดีย์ตามโลโก้ร้าน
ส่วนภายในร้านก็ออกแบบให้มีพื้นที่แบบดับเบิลสเปซ ที่รายล้อมด้วยกระจกใส ดูโปร่ง ให้ความรูสึกแบบ inside-out เพราะมองเห็นวิวสวนที่โอบล้อมโดยรอบร้าน และด้วยความที่เป็นกระจกใสนี่เอง จึงทำให้แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาได้ถึงภายในร้าน ทำให้รู้สึกสบายตา
ครัวเล็กๆ สำหรับชงเครื่องดื่มภายในร้าน ถูกออกแบบโดยถอดฟอร์มมาจากรูปทรงของขวดผลิตภัณฑ์ภายในร้าน ในรูปแบบสิ่งก่อสร้างทรงกระบอกกึ่งวงกลมกึ่งสามเหลี่ยม สูง 2 ชั้น มีบันไดหวายสานด้านข้าง เป็นทางเชื่อมนำเราไปสู่ชั้นบน ซึ่งเป็นโซนกึ่ง private มีที่นั่งเป็นเก้าอี้ bean bag ให้ความรู้สึกสบายๆเป็นกันเอง ส่วนผนังด้านข้างนั้น ได้ทำเป็นแผนที่บอกที่ตั้งของเกษตรกรทั้ง 11 กลุ่มในโครงการสามพรานโมเดล พร้อมแจกแจงละเอียดว่าแต่ละเดือนเกษตรกรแต่ละที่ส่งวัตถุดิบอะไรมาบ้าง คนที่มาก็จะได้รู้ว่าผักที่กำลังตักเข้าปากอยู่นั้น ปลูกที่ไหนและโดยใคร
โต๊ะแสดงผลิตภัณฑ์ ขาโต๊ะทำมาจากไม้จริงจากที่สามพรานที่ล้มเองตามธรรมชาติ แล้วนำไปแช่น้ำเป็นเวลา 2 ปี เพื่อกันปลวกและมอด ส่วน Top โต๊ะนั้นได้มาจากการ Laser cut แผ่นทองเหลืองให้เป็นรูปสามเหลี่ยมมุมมน เหมือนกับขวดผลิตภัณฑ์
เฟอร์นิเจอร์ทุกตัวในร้านล้วนเป็นของเก่าจากบ้านคุณยายคุณฟี่ โดยนำมาปรับปรุงใหม่ให้เหมาะสมกับการใช้งาน เช่น เก้าอี้เหล่านี้ เดิมมีเบาะ แต่นำไปแปลงโฉมใหม่เป็นหวาย เพื่อให้ได้โทนสีที่ดูเป็นธรรมชาติ เข้ากับบรรยากาศของร้าน
พื้นที่สีเขียวโดยรอบร้าน ถูกจัดให้มีลักษณะเป็นสวนทรอปิคอล เน้นบรรยากาศ สบายๆ เป็นกันเอง ด้วยเฟอร์นิเจอร์อย่างแคร่ไม้ไผ่ และในทุกๆเดือนนั้น สนามหญ้าสีเขียวโล่งๆ ด้านหลังร้านก็ถูกแปลงโฉมเป็นลานออกบูธ Farmer Market ชวนเกษตรกรในกลุ่มให้นำผักผลไม้มาขายในราคาที่ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง
ส่วนเพิงด้านข้างนั้น เดิมเป็นเรือนเพาะชำเก่าภายในบ้านคุณยาย แต่ปัจจุบันกลายเป็นพื้นที่จัดเวิคช้อปรองรับกลุ่มลูกค้าทุกเพศทุกวัยที่อยากดูแลสุขภาพ ซึ่งเวิคช้อปจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปเรื่อยๆในแต่ละสัปดาห์
Organic Living
เมนูอาหารแต่ละอย่างของที่นี่จะเน้นวัตถุดิบออแกนิค พร้อมบอกที่มีที่มาที่ไปของแต่ละชนิดอย่างชัดเจน โดยจะเน้นเสิร์ฟเมนูอาหารกล่องเพื่อสุขภาพ ที่ทางร้านปรุงสดใหม่ทุกวัน ซึ่งรายได้จากการขายสินค้า 3% จะถูกมอบให้กับมูลนิธิสังคมสุขใจ เพื่อสมทบทุนการพัฒนาและส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ให้กับเกษตรกร
จุดเด่นอีกอย่างของอาหารที่นี่ ทุกเมนูล้วนถูกคำนวณปริมาณสารอาหารที่คนเราควรทานต่อวันมาแล้วเรียบร้อย โดยทางสสส. กำหนดไว้ว่าในหนึ่งวันคนเราควรทานผักให้ได้อย่างน้อย 400 กรัม ยกตัวอย่างเช่น ข้าวน้ำพริกข่าสูตรคุณย่าที่เสริฟพร้อมไก่ทอดนี้ มีสารอาหารจากผัก 200 กรัม หากทานคู่กับผลไม้อย่างมะละกอในจำนวน 200 กรัม เราก็จะได้รับสารอาหารขั้นต่ำที่จำเป็นในแต่ละวันแล้วล่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก Patom Organic Living