มีโอกาสได้ออกทริปสั้นๆ ที่เมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม มุมมองที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเพียงมุมมองส่วนตัว ที่ผมได้พบเจอมา เวลาเพียง 4 วัน 3 คืน คงไม่เพียงพอที่จะบอกว่าเมืองนี้เป็นอย่างไร แต่ในแง่ของผู้คน เมืองและสถาปัตยกรรม เราก็สามารถสัมผัสบางอย่างได้ เลยเอามาบอกเล่าให้ฟังกันครับ
นครโฮจิมินห์ หรือ โฮจิมินห์ซิตี (Thành phố Hồ Chí Minh; / Ho Chi Minh City / ตัวย่อ HCMC) หรือชื่อเดิม ไซ่ง่อน เป็นเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศเวียดนาม ตั้งอยู่บริเวณสามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขง โฮจิมินห์เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของเวียดนาม
เวียดนามเป็นหนึ่งกลุ่มประเทศในอาเซียนที่น่าจับตามองและกำลังเร่งพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้านเรามากนัก เวียดนามมีภูมิประเทศเป็นแนวยาว ภูเขาสูงกั้นระหว่างที่ราบลุ่มแม่น้ำที่อุดมสมบูรณ์ทางตอนเหนือและใต้ หีบสมบัติทรัพยากรธรรมชาติอันสมบูรณ์ที่ยังรอการค้นพบอีกมากมาย แต่ในประเด็นที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบ ว่ารูปแบบสถาปัตยกรรมของประเทศเวียดนามกำลังมีชื่อเสียงขึ้นมาเรื่อยๆในระดับสากลนะครับ มีงานดีไซน์อาคารดีๆที่ได้รับรางวัลการดีไซน์ยอดเยี่ยม สามารถตอบสนองกับสภาพแวดล้อมความเป็นธรรมชาติและประยุกต์รูปแบบสมัยใหม่พร้อมรักษาความเป็นพื้นเมืองได้อย่างน่าสนใจทีเดียว
ชาวเวียดนามในนครโฮจิมินห์ส่วนใหญ่เดินทางโดยรถจักรยานยนต์ มีรถแท็กซี่บริการโดยมีหลายบริษัท และมีรถประจำทางบริการ เรียกว่า ไซ่ง่อนบัส (Saigon Bus)
ประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะในเมืองหลวงอย่างโฮจิมินห์เป็นเหมือนกับเมืองใหญ่ที่มีประชากรหนาแน่นทั่วโลก คือการมีราคาที่ดินค่อนข้างสูง การใช้พื้นที่จึงจำเป็นต้องคิดให้รอบครอบและใช้งานอย่างคุ้มค่ามากที่สุด “แนวคิดหลักคือการดึงธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งภายในบ้านให้มากที่สุด แม้ว่าพื้นที่ของบ้านจะน้อย แต่เราก็สามารถสร้างกรอบของอาคารที่ปิดล้อมจากบริบทที่ไม่น่ามองเท่าไรนัก และสร้างพื้นที่ส่วนตัวที่น่าอยู่ของตัวเองได้
ภูมิอากาศ
ภูมิอากาศโดยทั่วไปในภูมิภาคนี้เป็นแบบร้อนชื้น มีฝนตกชุก เนื่องจากได้รับอิทธิพลของมรสุมที่พัดผ่าน คือ ลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ยังได้รับอิทธิพลของลมพายุที่เกิดบริเวณทะเลจีนใต้ ได้แก่ พายุดีเปรสชัน พายุโซนร้อน และ พายุไต้ฝุ่น พายุเหล่านี้กำลังแรงของลมเป็นตัวกำหนดความรุนแรงของพายุที่พัดมา ซึ่งพายุไต้ฝุ่นมีความรุนแรงและนำความเสียหายมายังบริเวณที่พัดผ่านมากที่สุด ส่วนฤดูกาลในภูมิภาคนี้ส่วนใหญ่จะมี 3 ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูฝนและฤดูหนาว
เราพบอาคารหลังหนึ่งบนถนน Nguyễn Huệ (พิกัด) เป็นอาคารคล้ายตึกแถวสูงประมาณ 10 ชั้น โชคดีที่มีลิฟท์และบันได แต่โชคร้าย วันนั้นลิฟท์เสีย แต่ด้วยความสนใจที่มีมาก เราจึงต้องเดินขึ้นไปเพื่อสำรวจโดยไม่ใช้ลิฟท์ … เราสนใจตึกนี้มากกว่าอาคารหน้าตาทันสมัยที่กรุด้วยกระจกด้านข้าง เพราะทุกช่อง ทุกห้อง ดูมีเรื่องราวมากมายที่ต่างกันออกไป
ลองนึกภาพของอาคารตึกแถวแบบบ้านเรา แต่ใช้บันไดและลิฟท์ร่วมกัน ทั้งหมดอาจรวมเรียกว่าอพาร์ทเม้นท์น่าจะเข้ากว่า แต่… แต่มันมีฟังชั่นที่ซับซ้อนมากกว่านั้น คือ…
แต่ละห้อง มีประเภทการใช้งานที่ต่างกัน กล่าวคือ ที่เห็นทั้งหมดนั้น มีทั้งบ้าน ร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของ นั่นหมายความว่า ทุกคนสามารถเดินขึ้นไปได้ทุกชั้น เพื่อเข้าถึงพื้นที่ที่ต้องการ… เช่นคาเฟ่ห้องนี้ตั้งอยู่ที่ชั้น 5 ข้างห้องด้านหนึ่งเป็นร้านอาหาร อีกด้านเป็นบ้านพักอาศัย
ทันทีที่รู้เช่นนั้นจึงเกิดคำถามขึ้น… มันจะเวิร์คหรอ??? ทั้งเรื่องความสงบ และความปลอดภัย
สุดท้ายจึงได้คำตอบจากคนท้องที่ว่า เดิมเป็นอาคารประเภทพักอาศัยรวม หรือ อพาร์ทเม้นต์ แต่เมื่อมีการทำถนนด้านหน้าใหม่ ดีขึ้น ใหญ่ขึ้น พื้นที่ตรงนี้ก็มีราคาแพงขึ้น หลายคนจ่ายค่าที่ไม่ไหวจึงย้ายออกไป จากนั้นเจ้าของอาคารจึงปล่อยให้เช่ากับผู้สนใจรายใหม่ แต่ด้วยความที่พื้นที่นี้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ใจกลางเมือง จึงอาจไม่เหมาะนักที่จะเป็นบ้านพักอาศัยที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
ร้านค้า ร้านอาหารจึงเกิดขึ้น หลักถึงการรีโนเวทให้ดูสวยงามน่านั่ง ที่สำคัญต้องดูโดดเด่นเมื่อมองจากถนนด้านล่างด้วย ก็จะดีไม่น้อย
เมื่อยามค่ำคืนมาถึง เคยได้ยินว่าวัยรุ่นที่นี่ ใช้ชีวิตเรียบง่าย สโลไลฟ์กว่าคนไทยมาก ผมก็เลยออกไปดูให้เห็นกับตาสักหน่อย… สิ่งที่เห็นนั้นคือ
ภาพของสวนสาธารณะ สวนหย่อม เกาะกลางถนน (เกาะกลางถนนที่เวียดนามใหญ่มาก เป็นสวนหย่อมได้สบายๆ) ที่เป็นไปด้วยผู้คน วัยรุ่นหนุ่มสาว ต่างมานั่งพูดคุย พบปะกัน รวมไปถึงฉากโรแมนติกของหนุ่มสาว ดูน่ารักแปลกตาไปอีกแบบ
พื้นที่เปิดโล่งที่เราได้พบนี้ชื่อ The Turtle Lake (Hồ Con Rùa) หรือบ่อเต่านั่นเอง มีโครงสร้างคอนกรีตตั้งสูงขึ้นไปกลางสระ ทราบประวัติภายหลังว่าเปรียบเหมือนดอกบัวโผล่ขึ้นกลางน้ำ ทางเดินโดยรอบวิ่งไปมาเป็นเส้นโค้ง ตัดทับกันบ้าง เกิดระดับของพื้นที่ไม่เท่ากัน เหล่าวัยรุ่นก็นั่งห้อยขาเป็นคู่ๆ กลุ่มๆ ดูแล้ว ก็น่ากลัวจะตกลงไปไม่น้อย แต่คนที่ตก คงเป็นเราตอนนี้ที่เดินเก้ๆกังๆ เข้าไปเพื่อถ่ายรูปเสียมากกว่า…
ความสงสัยเดียวที่เกิดขึ้นตอนนี้คือ… คนเวียดนาม ออกมาทำอะไรที่สระน้ำ หรือ สวนรอบๆเมือง ในยามค่ำคืนมากขนาดนี้ แต่เมื่อมองโดยวิเคราะห์ลึกลงไป อาจเป็นเพื่อเวลาช่วงกลางวันนั้น คนเวียดนามทำงานกันทั้งวัน และการจราจรก็ติดขัด พื้นที่ส่วนตัวน้อย เมื่อมีเวลาช่วงเย็น – ค่ำ การพูดคุยพบปะเพื่อน จึงเป็นสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด ไม่มีห้าง ไม่มีร้านกาแฟชิคๆ ให้ได้นั่งเท่ากรุงเทพ สวน หรือ พื้นที่เปิดโล่ง จึงเป็นที่เดียวที่พวกเขาจะได้นั่งคุยกับคนรู้ใจแบบยาวๆ
ทำให้รู้สึกว่า รูปแบบของสถาปัตยกรรม อาจไม่สำคัญเท่าการใช้งานที่แท้จริงของมัน มนุษย์เรานี่แหล่ะ จะเป็นผู้ปรับเปลี่ยน ให้เข้ากับความต้องการได้อย่างไม่น่าเชื่อ…. 🙂