OPENING HOURS: MONDAY – SUNDAY: 10.00 AM TO 8.00 PM

info@sitename.com | 987654321

โรงเรียนที่ให้เด็กเข้าไปเรียนรู้จากต้นไม้ พื้นหญ้าและธรรมชาติ : RAINTREE INTERNATIONAL SCHOOL

เราเชื่อเสมอว่า “การออกแบบที่ดี สามารถทำให้ชีวิตดีขึ้นได้จริงๆ” การออกตามหางานออกแบบที่ดี จึงเป็นหน้าที่และสิ่งที่เรารักจะทำมาตลอด และหลายครั้งที่ได้พบงานออกแบบหรือสถาปัตยกรรมที่ดีๆ เราก็อดไม่ได้ที่จะเอามาถ่ายทอดให้ทุกคนได้รับรู้ ว่ายังมีสถานที่ที่ให้ความสำคัญกับการออกแบบ แนวคิด รวมไปถึงการออกแบบการใช้งานที่เหมาะสมภายในอาคารด้วย

เช่นเดียวกับสถานที่ที่เราจะพาไปชมวันนี้ นั่นก็คือ Raintree International School โรงเรียนอนุบาล ย่านถนนนางลิ้นจี่ ที่เปิดรับเด็กอายุตั้งแต่ 1 – 5 ขวบ เมื่อดูภายนอก เราต่างก็สะดุดตากับรูปทรงอาคารโค้งมนที่ดูเป็นมิตร ช่องเปิดและจังหวะของอาคาร ทำให้เผลอจินตนาการไปยังพื้นที่ด้านใน ที่น่าจะมีความน่าอยู่ไม่น้อยเลย

โรงเรียนนี้ก่อตั้งโดย คุณใหม่ – พรรณรจน์ ชลิตอาภรณ์, คุณทิพย์ – วรจรรย์ จิราธิวัฒน์ และคุณกรณ์ จาติกวณิช ครั้งนี้เราได้มีโอกาสคุยกับหนึ่งในเจ้าของโรงเรียน คุณใหม่ พรรณรจน์ ได้เล่าให้เราฟังถึงที่มาของการเปิดโรงเรียนแห่งนี้ 

“ก่อนหน้านี้ได้มีโอกาสไปช่วยพี่สาวคือคุณทิพย์ เลือกโรงเรียนให้ลูก จึงพบว่าจริงๆแล้วโรงเรียนดีๆในกรุงเทพฯนั้นมีเยอะนะ แต่ที่เป็น Child Centric School จริงๆนั้นยังไม่ค่อยมี บวกกับเราก็สนใจและทำธุรกิจเกี่ยวกับเด็กมาก่อน จึงตัดสินใจลองธุรกิจโรงเรียนนี้ดู ซึ่งนอกจากความตั้งใจจริงที่เรามีเต็มเปี่ยมแล้ว เรายังเชื่อว่าการปลูกฝังทักษะและความคิดให้กับเด็กในช่วงวัยนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด” คุณใหม่กล่าวถึงตอนที่ตัดสินใจทำโรงเรียนแห่งนี้

– การสอนที่มีเด็กเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง –

“เราเลือกใช้หลักสูตรจากประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ได้แรงบันดาลใจมาจากระบบการสอนหนึ่งชื่อ Reggio Emilia จากประเทศอิตาลี เป็นระบบการสอนที่มีศูนย์กลางการเรียนรู้คือเด็กๆ (Child Centric Schoolโดยเราจะเปิดโอกาสให้เด็กๆได้เรียนรู้ในสิ่งที่สนใจ สิ่งที่อยากค้นหา โดยคุณครูจะเป็นผู้ที่คอยสังเกตุว่าเด็กคนไหนสนใจเรื่องอะไร และจึงนำมาขยายผลเป็นกิจกรรม เป็นการสอนในแต่ละวันหรือแต่ละสัปดาห์” คุณใหม่แนะนำระบบที่เลือกใช้กับ Raintree International School

ลองลืมระบบการเรียนการสอนแบบเก่าไปเสีย เพราะที่นี่คือสถานที่ที่จะปล่อยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ต้องการจริงๆ โลกเปลี่ยนไปมาก ความรู้อยู่ในอินเทอร์เน็ทมากมายเพียงปลายนิ้วคลิก แต่ยังคงมีสิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถสอนกันได้คือ “ความคิด” และ “ทัศนคติ” ที่ดีต่อชีวิต ต่อผู้คนรอบตัวและโลกใบนี้ เราอยากให้เขาเป็นอย่างไร การสอนและใส่ข้อมูลไปเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ

เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็กวัยนี้ คือการปลูกฝังความคิด จินตนาการ และทัศนคติในการดำเนินชีวิตที่ดี โดยมีคำว่า “ความสุข” เป็นอีกตัวแปรหนึ่งในทุกๆกิจกรรม ไม่ใช่การเรียนวิชาคณิตศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์อย่างเคร่งเครียด

“การเรียนด้วยระบบนี้ จึงเป็นการส่งเสริมให้เด็กได้มีอิสระในการเรียนรู้ และพวกเขาก็จะสนใจและตั้งใจที่จะเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นจริงๆ ไม่ใช่การเรียนที่ถูกบังคับอีกต่อไป และเราเชื่อว่าเมื่อเด็กๆมีความคิด มีทัศนคติที่ดีแล้ว เขาจะเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ มีภูมิคุ้มกันที่ดีที่จะช่วยให้เขาไม่หลงทาง และต่อสู้กับทุกปัญหาได้อย่างมีความสุข” คุณใหม่กล่าวเสริมถึงความคิดหลักของแนวการสอนนี้

– สถาปัตยกรรม ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็ก –

นอกจากระบบการเรียนรู้ที่มีเด็กเป็นศูนย์กลางของโรงเรียนแห่งนี้แล้ว ที่นี่ยังมีความเชื่อเรื่องการเรียนรู้ที่มี “ธรรมชาติ” เป็นเพื่อนคอยสร้างแรงบันดาลใจให้กับเด็กๆ “ตั้งแต่เราเป็นเด็ก เราจะคุ้นเคยกับเมือง ตึกรามบ้านช่อง และไม่ค่อยมีธรรมชาติให้ได้สัมผัส แต่เมื่อเราโตขึ้น เราจึงรู้ว่าจริงๆแล้วนั้น ธรรมชาติเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากๆ กับการพัฒนาการและความสามารถของเด็ก เราอยากให้เด็กๆไม่กลัวที่จะเดินบนสนามหญ้าด้วยเท้าเปล่า ไม่กลัวที่จะเล่นดินเล่นทราย ได้วิ่งเล่นอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ รวมไปถึงได้ศึกษาชีวิตสัตว์น้อยใหญ่ในสวน”

“เราจึงวางแนวคิดของโรงเรียน ให้มีเรื่องของการเป็นส่วนหนึ่งส่วนเดียวกันกับธรรมชาติมากที่สุด เราโยนโจทย์นี้ให้กับสถาปนิกผู้ออกแบบคือ Green Dwell โดยคุณ รักศักดิ์ สุคนธะตามร์ หรือพี่แตน ให้มาช่วยออกแบบโรงเรียนแห่งนี้ให้ ซึ่งเราค่อนข้างเปิดกว้างให้ผู้ออกแบบได้เสนอแนวคิดได้อย่างอิสระ เพียงยึดสิ่งที่เราตั้งไว้เป็นแกนหลักก็คือ ความปลอดภัย ใกล้ชิดธรรมชาติ ใช้งานอยู่ภายในอย่างสบายกายและใจ” คุณใหม่กล่าวถึงครั้งแรกที่ได้ให้โจทย์แก่ผู้ออกแบบไป

ส่วนบริเวณสวนและเครื่องเล่นสำหรับเด็กนั้นออกแบบโดย Studiomake ซึ่งออกแบบให้มีทั้งความคิดสร้างสรรค์ และความปลอดภัยไปด้วยในขณะเดียวกัน

– โรงเรียนที่มีธรรมชาติ เป็นคุณครูช่วยสอน –

“ตอนแรกที่เราได้ทำโปรเจคนี้ เราเริ่มโดยการมาดูพื้นที่ที่จะก่อสร้างแห่งนี้ เราก็พบว่าเป็นพื้นที่ใจกลางเมืองที่มีความร่มรื่นอยู่มาก คือมีต้นไม้ใหญ่อยู่หลายต้น ไม่ว่าจะเป็นต้นจามจุรี ต้นไทร ต้นมะขาม ที่แผ่กิ่งก้านสาขาอยู่ใหญ่โตมาก คอยให้ร่มเงาแก่พื้นที่บริเวณนี้” คุณรักศักดิ์กล่าวถึงขั้นตอนแรกในการเริ่มออกแบบ

“บวกกับแนวทางในการออกแบบของ GreenDwell ที่เน้นเรื่อง Well Being อยู่แล้ว เราจึงผสานแนวคิดทั้งหมดไว้ด้วยกัน เพื่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็กๆทุกคน” นอกจากเรื่องของการคงต้นไม้ใหญ่ไว้ สถาปนิกยังคิดถึงเรื่องภาวะน่าสบายในการใช้ชีวิตของเด็กๆภายในโรงเรียนแห่งนี้ ทำอย่างไรให้เด็กๆเกิดความสบายตัว ไม่ร้อนเกินไปที่จะทำกิจกรรมกลางแจ้ง รวมถึงได้รับแสงธรรมชาติเพียงพอ แม้อยู่ในห้องเรียน 

ต่อมาคือการวิเคราะห์ทิศทางแดดและลมของพื้นที่ รวมถึงผังของต้นไม้ใหญ่เดิม ทำให้เกิดรูปแบบของผังอาคารในระนาบ 2 มิติ ก่อนที่จะนำมาต่อยอดเพิ่มขนาดในด้าน 3 มิติ เกิดรูปแบบของอาคารที่เหมาะสมกับแนวคิดและสภาพของที่ดิน รวมถึงสภาพอากาศของเมืองไทยด้วย “เมื่อคิดว่าจะคงต้นไม้ไว้ ผังอาคารจึงลื่นไหลไปตามที่ว่าง โอบล้อมต้นไม้ใหญ่เอาไว้ เกิดคอร์ท 2 คอร์ทขนาดใหญ่ที่สามารถใช้เป็นลานกิจกรรมกลางแจ้งได้สบายๆ” 

เพราะการเรียนรู้ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในห้องเรียนเท่านั้น สถาปนิกจึงออกแบบให้โรงเรียนมีห้องเรียนธรรมชาติเพิ่มขึ้นอีก 2 ห้อง โดยมีต้นไม้ใหญ่คอยให้ร่มเงา พร้อมทั้งมีอุปกรณ์การเล่น การเรียนรู้ที่ปลอดภัย คอยเติมเต็มความคิดสร้างสรรและจินตนาการให้กับเด็กๆ ได้เป็นอย่างดี

– การเชื่อมโยง ที่มากกว่าความปลอดภัย –

และ Keyword ที่สำคัญอีกสิ่งหนึ่งของการออกแบบโรงเรียนอนุบาลคือ การมีพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับเด็กๆ และสถานที่ยังเอื้อให้คุณครูหรือผู้ดูแล สามารถสอดส่องมองเห็นเด็กๆได้ชัดเจน เพื่อความปลอดภัยในการใช้ชีวิตภายในโรงเรียน โดยคุณใหม่ผู้เป็นเจ้าของนั้น ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของบุคลากรเป็นอันดับต้น กล่าวคือคุณครูและพนักงานทุกคนนั้น ต้องมีความรักในวิชาชีพนี้ และมีใจที่จะดูแลเด็กๆทุกคนอย่างจริงใจ ต่อมาคือเรื่องของอาคารสถานที่ ซึ่งเป็นหน้าที่ของสถาปนิกที่จะออกแบบอาคารให้ปลอดภัยที่สุดในทุกๆแง่มุม

การออกแบบพื้นที่ต่อเนื่อง โปร่งโล่ง และเชื่อมต่อกับธรรมชาติแบบนี้ นอกจากจะเป็นการเข้าใกล้ธรรมชาติเพื่อการเรียนรู้แล้ว ในแง่ของการดูแลเด็กๆ รูปแบบอาคารที่สามารถมองเห็นได้ทั่วถึงแบบนี้ เป็นสิ่งที่โรงเรียนอนุบาลทุกโรงเรียนต้องมี 

และนอกจากการเชื่อมโยงทางราบ ยังมีการเชื่อมโยงทางตั้ง โดยการเจาะพื้นชั้น 2 ให้สอดคล้องกับพื้นที่กิจกรรมชั้นล่าง เกิดการปฏิสัมพันธ์ที่น่าสนใจในการใช้งาน อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มความปลอดภัยในการดูแลเด็กๆไปอีกขั้น

– Mood and Tone ที่ส่งเสริมทุกกิจกรรม –

“ส่วนในเรื่องของวัสดุและโทนสี อันดับแรกเราเลือกวัสดุที่ปลอดภัยก่อน เพราะทุกพื้นผิวต้องใช้งานได้อย่างปลอดภัย ไม่ลื่น รวมถึงไม่มีสารพิษที่จะแผ่ออกมาเมื่อใช้งานไปนานๆ ไม่ว่าจะเป็นพื้นกระเบื้องที่ปูบริเวณสนามหญ้าก็จะเป็นชนิดที่รองรับแรงกระแทกได้ และยังมีผิวที่นิ่ม เมื่อเด็กๆวิ่งและล้ม ก็จะไม่เกิดอันตรายมากนัก หรือวัสดุที่อยู่ภายนอกทั้งหมดต้องมีผิวที่ไม่ลื่น เหลี่ยมมุมต่างๆของอาคาร ก็มีการออกแบบให้อยู่ในตำแหน่งที่เกิดความเสี่ยงในการวิ่งชนน้อยที่สุด รวมถึงการใช้เสากลมแทนเสาเหลี่ยม ก็เป็นเสาที่ช่วยลดโอกาสในการวิ่งชนได้มากกว่าเสาเหลี่ยม”

ส่วนโทนสี สถาปนิกบอกกับเราว่า “เราอยากให้สถาปัตยกรรมนี้เป็นเหมือนผืนผ้าใบสีขาว ที่จะช่วยส่งเสริมทุกกิจกรรมของเด็กๆ และพร้อมที่จะเป็นพื้นหลัง ที่มีสีไม่ฉูดฉาดอย่างขาวและครีม เพื่อให้สีสันแห่งจินตนาการของเด็กๆนั้นเด่นชัดขึ้นมา ดังนั้นเราจึงเลือกใช้สีขาวเป็นหลัก สลับกับสีเอิร์ธโทนอ่อนๆ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจในบางส่วน”

ห้องเรียนชั้น 2 ที่เปิดรับแสงธรรมชาติได้อย่างเพียงพอ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่รับความร้อนเข้ามาภายใน

ห้องเรียนชั้นล่างติดกับส่วนระเบียงและคอร์ทต้นไม้ใหญ่ ด้านที่ติดกับรั้วจึงออกแบบแผงบังตาเพื่อความเป็นส่วนตัว

ห้องสมุดหรือห้องอ่านหนังสือ ที่ออกแบบมาให้มีลูกเล่นที่นั่งน่าสนใจ เพิ่มจินตนาการมากกว่าห้องอ่านหนังสือธรรมดาหลายเท่าตัว

ส่วนต้อนรับและพักคอย ถูกตกแต่งในรูปแบบและโทนสีเรียบง่าย ดูสบายตา

เราจะเห็นว่า นอกจากการออกแบบที่ปลอดภัยแล้ว การออกแบบอาคารที่เอื้อให้เด็กๆ ได้เข้าใกล้กับธรรมชาตินั้น ช่วยเปิดโลกจินตนาการได้มากกว่าการนั่งอยู่ในห้องแคบๆ เพราะเมือใดที่พวกเขารู้จักที่จะรักธรรมชาติมากขึ้น เมื่อนั้นเขาก็จะรู้จัก ที่จะรักตนเองและคนรอบข้างมากขึ้นด้วย

ขอขอบคุณ

คุณใหม่ – พรรณรจน์ ชลิตอาภรณ์

คุณแตน – รักศักดิ์ สุคนธะตามร์ จาก Green Dwell

Studiomake