OPENING HOURS: MONDAY – SUNDAY: 10.00 AM TO 8.00 PM

info@sitename.com | 987654321

Design Makes A Better Life.

Design Makes A Better Life.

Glenn Murcutt ต้นแบบนักสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมเพื่อความยั่งยืน กับปรัชญาสัมผัสธรรมชาติอย่างแผ่วเบา

‘Touch the Earth Lightly’ หรือ การสัมผัสความเป็นธรรมชาติอย่างแผ่วเบา คือ นิยามหรือปรัชญาการออกแบบของ เกล็นน์  เมอร์คัตต์ (Glenn Murcutt) สถาปนิกชาวออสเตรเลีย ผู้คว้ารางวัล The Pritzker Architecture Prize ปี 2002 ถึงแม้จะเป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในยุคหลังๆ แต่แนวคิดเคารพธรรมชาติที่เขายึดถือ ก็ทำให้ผลงานของเมอร์คัตต์โดดเด่นด้วยความเรียบง่าย เน้นการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และให้ความสำคัญบริบทโดยรอบ จนได้รับการยกย่องให้เป็นนักสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมเพื่อความยั่งยืนคนแรกๆ ของยุค 

เกล็นน์  เมอร์คัตต์ (Glenn Murcutt)
Photo Credits ;
https://www.australiandesignreview.com

ซึมซับความเป็นธรรมชาติมาตั้งแต่วัยเยาว์

ย้อนกลับไปในสมัยที่เกล็นน์  เมอร์คัตต์ยังเด็ก เขาเคยย้ายตามครอบครัวไปพักอาศัยที่ประเทศปาปัวนิวกีนี เกาะทางเหนือของทวีปออสเตรเลียเป็นระยะเวลา 5 ปี ทำให้เมอร์คัตต์ได้พบกับสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่สร้างขึ้นจากวัสดุเรียบง่าย เข้ากับลักษณะภูมิประเทศ ประกอบกับด้วยความที่คุณพ่อชื่นชอบการออกแบบ และมักจะสร้างบ้านขึ้นเอง ทำให้เขาซึมซับบรรยากาศเหล่านั้นมาโดยไม่รู้ตัว

“คุณพ่อสนใจในเรื่องการออกแบบมาก เขามักจะออกแบบและสร้างอาคารของตัวเอง โดยที่บ้านทุกหลังจะมีบานเกล็ดมุ้งลวดกันแมลงและหลังคาระบายอากาศ เพราะเรามองว่าอากาศบริสุทธิ์ถือเป็นสิ่งสำคัญในการอยู่อาศัย” เมอร์คัตต์กล่าว
Marika – Alderton House
Northern Territory, 1994

Photo Credits ; area-arch.it , arielchesley.files.wordpress

หลังจากใช้ชีวิตที่ปาปัวนิวกีนีได้ไม่นาน ก็ย้ายกลับมาพักอาศัยในเมืองซิดนีย์ และเข้ารับการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จาก Sydney Technical College (ปัจจุบันคือ University of New South Wales)  หลังจากเรียนจบ ในช่วงแรกของการทำงานเขามีโอกาสได้ทำงานร่วมกับสถาปนิกหลายท่าน เช่น Neville Gruzman , Ken Woolley, Sydney Ancher และ Bryce Mortlock ซึ่งช่วงเวลานี้ถือเป็นเวลาสำคัญที่เปิดโอกาสให้ให้เขาได้สัมผัสกับรูปแบบสถาปัตยกรรมออร์แกนิก ที่เน้นสร้างความสัมพันธ์กับธรรมชาติ

เมื่อสั่งสมประสบการณ์ได้เป็นเวลา 8 ปี เมอร์คัตต์ก็ตัดสินใจก่อตั้งสตูดิโอออกแบบเล็กๆ เป็นของตัวเองในย่านชานเมืองซิดนีย์ ประกอบกับรับหน้าที่ศาสตราจารย์สอนด้านสถาปัตยกรรมที่มหาวิทยาลัยทั่วโลก รวมถึงงานบรรยายต่างๆ ในระดับนานาชาติ
Marie Short House
New South Wales, 1975
Photo Credits ; area-arch.it , ofhouses.com

สถาปนิกผู้ออกแบบแต่บ้านและอาคารขนาดเล็ก

สิ่งหนึ่งที่ทำให้เมอร์คัตต์แตกต่างจากสถาปนิกคนอื่นๆ ที่คว้ารางวัล Pritzker Prize คือ การที่เขาไม่เคยทำงานออกแบบอาคารสูง รวมไปถึงอาคารสาธารณะสเกลใหญ่ ผลงานส่วนมากของเขาจะเน้นการออกแบบเพียงบ้านพักอาศัย หรืออาคารขนาดเล็กเท่านั้น ซึ่งสิ่งสำคัญไม่ใช่ความใหญ่โตของสเกลงานเสมอไป แต่คือ แนวคิดการออกแบบสถาปัตยกรรมให้เข้ากับสภาพภูมิประเทศ สภาพอากาศและสถานที่ตั้ง โดยใช้เทคนิคการก่อสร้างสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นที่เขาคุ้นเคยดีมาใช้
Magney House
New South Wales, 1984
Photo Credits ; plansmatter.com , fr.wikiarquitectura.com

ผลงานในช่วงแรกๆ ของเขา ได้รับอิทธิพลมาจากสถาปนิกชื่อดังอย่าง Mies van de Rohe และ Alvar Aalto ทำให้เราเห็นผลงานออกแบบของเมอร์คัตต์ที่ตรงไปตรงมา อ่อนน้อมถ่อนตนและเคารพต่อธรรมชาติ โดยหยิบนำวัสดุง่ายๆ ในท้องถิ่นมาใช้อย่างหลากหลาย

“ผมสนใจอาคารที่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพภูมิอากาศตามฤดูกาลได้ ยกตัวอย่างเช่น เราไม่เปิดเครื่องปรับอากาศในขณะที่เดินไปตามถนนในช่วงฤดูร้อน แต่เราเลือกที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สวมใส่แทน การปรับตัวเหล่านั้น คือ กุญแจสำคัญที่มีผลต่อการออกแบบอาคารของผม”
Australian Islamic Centre
Melbourne, Australia 2017
Photo Credits ; www.archdaily.com

Simpson-Lee House
New South Wales , Australia 1994

Photo Credits ; https://architectureau.com

บ้านชั้นเดียวหลังนี้ตั้งอยู่ในเทือกเขา Blue Mountains ซึ่งเป็นภูมิทัศน์ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางทิศตะวันตกของเมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ทำให้การออกแบบทั้งหมดจำเป็นต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดด้านกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด

ตัวบ้านถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน โดยฝั่งหนึ่งจะประกอบไปด้วยฟังก์ชันหลักของบ้าน ส่วนอีกฝั่งออกแบบให้เป็นห้องขนาดใหญ่ที่แยกตัวออกไปอย่างชัดเจน ก่อนจะเชื่อมเข้าหากันด้วยทางเดินยาวภายนอกที่ยกสูงขึ้นจากพื้น
Photo Credits ; www.ozetecture.org

หลังคายังออกแบบให้ทำมุมองศาอย่างพอดี เพื่อป้องกันความร้อนของอาคารในฤดูร้อน แต่ยังเปิดให้แสงแดดธรรมชาติเข้าถึงได้สำหรับฤดูหนาว และด้วยรูปทรงของหลังคายังสามารถรับน้ำฝน ให้ลงที่ด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อการดูแลรักษาที่น้อยที่สุด

การจัดวางผังบริเวณ เมอร์คัตต์ยังใส่ใจถึงความสัมพันธ์กับธรรมชาติ ทั้งในเรื่องมุมมองที่เปิดออกสู่ภูมิทัศน์โดยรอบ และการนำน้ำเข้ามาสร้างบรรยากาศในการอยู่อาศัย รวมถึงออกแบบบ้านให้เรียบง่าย กลมกลืนไปกับบริบทความเป็นธรรมชาติโดยรอบ
ภาพแปลนบ้าน  Simpson-Lee House
Photo Credits
; www.ozetecture.org

 Arthur and Yvonne Boyd Art Centre
New South Wales, Australia 1999
(collaboration with Reg Lark and Wendy Lewin)

Photo Credits ; www.archdaily.com

เนื่องจากเป็นอาคารที่มีขนาดใหญ่กว่าสเกลบ้านปกติ โปรเจกต์นี้จึงเป็นโปรเจกต์พิเศษที่เมอร์คัตต์ทำร่วมกับ Wendy Lewin ภรรยาและ Reg Lark ลูกศิษย์  อาคารหลังนี้ตั้งอยู่บนภูมิประเทศที่สวยงาม ห้อมล้อมไปด้วยวิวธรรมชาติและแม่น้ำในเมือง Riversdale รัฐ New South Wales ประเทศออสเตรเลีย โดยมีฟังก์ชันเป็นศูนย์การศึกษาสำหรับเด็กนักเรียนอายุ 8 -15 ปี

เมื่อพิจารณาถึงบริบทของภูมิทัศน์อันสวยงาม รวมถึงลักษณะที่เป็นธรรมชาติของพื้นที่ อาคารจึงถูกจัดวางในลักษณะเฉียงเป็นเส้นตรงขึ้นสู่เนิน ฟังก์ชันหลักทั้งสองอย่างพื้นที่กิจกรรมส่วนกลางและหอพักมีรูปแบบที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โรงเรือนและระเบียงถูกจัดกลุ่มไว้ใต้หลังคาห้องโถงใหญ่ที่สูงตระหง่าน โดยมีการยกระดับเพื่อให้มองเห็นวิวทิวทัศน์อันสวยงาม ในขณะที่ห้องนอนถูกจัดเรียงในแนวยาว ส่วนห้องครัวจะเชื่อมเข้าสู่ห้องโถงใหญ่เพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้งาน
Photo Credits ;www.architectural-review.com , www.flickr.com

ส่วนที่เป็นห้องพักทุกๆ ห้องยังออกแบบให้มองเห็นวิว อีกทั้งยังนำเทคนิคแผงกันแดดที่เขาเคยใช้ในการออกแบบบ้านหลังอื่นๆ โดยมีลักษณะคล้ายครีบยื่นออกจากอาคารทางแนวตั้ง ซึ่งจะช่วยสร้างความเป็นส่วนตัว รวมถึงช่วยถ่ายเทลมและอากาศ

Donaldson House
Sydney, Australia 2017

Photo Credits ; www.gessato.com

เช่นเดียวกับงานออกแบบอื่นๆ ของเมอร์คัตต์ Donaldson House ไม่เพียงลดผลกระทบต่อที่ดิน แต่ยังปรับรูปแบบของสถาปัตยกรรมให้กลมกลืนและตอบสนองต่อลักษณะภูมิประเทศและเอกลักษณ์ของพื้นที่

เนื่องจากบ้านหลังนี้สร้างขึ้นในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดไฟป่า บ้านจึงออกแบบด้วยโครงสร้างฐานรากคอนกรีตเสริมเหล็ก หน้าต่างกระจกที่แข็งแรงเป็นพิเศษ คานหลังคาเหล็ก และหุ้มด้วยสังกะสีเคลือบสีดำ ซึ่งหากมองจากภายนอกเราแทบจะมองไม่เห็นบ้านหลังนี้จากถนนเลย เพราะถูกออกแบบให้ตั้งอยู่ภายใต้หินทรายบนพื้นที่สูงชัน ซึ่งจะสามารถเข้าถึงตัวบ้านชั้นบนผ่านทางบันไดคอนกรีตแบบแขวน
Photo Credits ; www.gessato.com

บริเวณชั้นบนของบ้านประกอบด้วยพื้นที่หลักอย่างห้องครัว ห้องรับประทานอาหารและห้องนั่งเล่น เชื่อมต่อสู่ระเบียงที่เปิดให้เห็นทัศนียภาพอันงดงามของป่าไม้ หน้าต่างบานใหญ่ทำให้แสงธรรมชาติเข้าถึงพื้นที่ภายใน นอกจากนั้นในชั้นนี้ยังมีห้องนอนใหญ่ที่ออกแบบผนังเปิดให้มองเห็นแนวหินขนาดใหญ่และแอ่งน้ำ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในไฮท์ไลท์ของบ้านทั้งหลัง ส่วนชั้นล่างจะเป็นที่ตั้งของห้องนอน 3 ห้องและห้องน้ำ 2 ห้อง รวมถึงห้องซักผ้าและลานตากผ้า
Photo Credits ; www.gessato.com

อีกหนึ่งจุดเด่นของบ้านหลังนี้ คือ ถังเก็บน้ำ แผงโซลาร์เซลล์ และบ้านซึ่งไม่มีเครื่องปรับอากาศ แต่ใช้ระบบบานเกล็ดควบคุมด้วยไฟฟ้าเป็นตัวควบคุมแสงแดดและความร้อนจากภายนอกแทน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตามแบบฉบับของเกล็นน์ เมอร์คัตต์

MPavilion
Melbourne, Australia 2019

Photo Credits ; www.dezeen.com

สำหรับโปรเจกต์ล่าสุดของเมอร์คัตต์อย่าง MPavilion ตั้งอยู่ที่ Queen Victoria Gardens ในเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย อาคารหลังนี้ได้รับคำนิยามให้เป็นพื้นที่พักพิงที่ทันสมัยและสามารถปรับเปลี่ยนได้ โดยสามารถตั้งอยู่บนภูมิประเทศต่างๆ ได้อย่างสะดวกและรบกวนบริบทธรรมชาติน้อยที่สุด ซึ่งอาคารหลังนี้ยังคงนำเสนอลักษณะอันเรียบง่าย และให้ความสำคัญกับอากาศธรรมชาติตามแบบเฉพาะของเมอร์คัตต์

อาคาร MPavilion เปิดโล่งรับวิวทิวทัศน์และอากาศธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ โดยประกอบขึ้นเป็นผังสี่เหลี่ยมด้วยการใช้เสาเหล็กกลมรองรับโครงถักที่ห่อหุ้มด้วยโครงสร้างเมมเบรนแรงดึงโปร่งแสง ทำให้หลังคาสีขาวดูบางเบาและเหมือนลอยตัวอยู่ซึ่งในยามค่ำคืนจะสว่างไสวจากแสงประดิษฐ์จากภายใน โครงร่างสี่เหลี่ยมที่เรียบง่ายและการใช้โครงเหล็กน้อยที่สุด ยังทำให้อาคารสามารถรื้อถอนได้ง่าย พร้อมรับต่อการเปลี่ยนแปลง
Photo Credits ; www.dezeen.com

นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง เมื่อโลกล้วนเต็มไปด้วยนักสร้างสรรค์ที่พร้อมจะสร้างผลงาน คำนึงถึงบริบทความเป็นธรรมชาติ พยายามหาหนทางการอยู่อาศัยในรูปแบบใหม่ๆ ที่ปรับตัวเข้าหากันระหว่างมนุษย์และธรรมชาติได้อย่างสมบูรณ์ หนึ่งในนักสร้างสรรค์ที่ว่านั้น ก็คือ เกล็นน์  เมอร์คัตต์ ซึ่งผลงานของเขาก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่า ไม่จำเป็นต้องโดดเด่น หวือหวา แต่ความเรียบง่ายกลับคืนสู่อะไรที่เป็นธรรมดาสามัญก็สามารถสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมระดับโลกได้เช่นเดียวกัน

อ้างอิงข้อมูลจาก ;
en.wikipedia.org , assemblepapers.com.au ,www.pritzkerprize.com ,architectureau.com , architectural-review.com , www.gessato.com ,  www.archdaily.com

Photo Credits (ภาพปก) ;
static.naewna.com , archdaily.com